วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 164

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 164 งานเลี้ยงมื้อค่ำในราชวัง

ในราชวัง....งานเลี้ยงมื้อค่ำ

ตะเกียงไฟสว่างไสว หลงหยินและฟงหลิงนั่งร่วมโต๊ะเดียวดื่มสุราร่วมกัน กระดกดื่มคุยกันอย่างออกรสรื่นเริง ด้านล่างถัดจากโต๊ะพวกมันมีสตรีงดงามนับสิบขับร้องเต้นรำ สองฝั่งเป็นขุนนางนายพลนั่งเป็นสองแถวยาว ต่างชื่นชมกับเครื่องบันเทิง

การได้นั่งเสมอระดับกับหลงหยิน นับได้ว่าเป็นการต้อนรับเทียบเท่าจักรพรรดิของสามอาณาจักร เห็นได้ชัดว่าหลงหยินให้เกียรติฟงหลิงอย่างสุดประมาณ คนทั้งสองคุยกันอย่างร่าเริง ถกทุกสิ่งภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่คิดเอ่ยถึงเรื่องหายนะเทียนหลงเมื่อวันเก่า พวกเขากระทั่งพยายามไม่เอ่ยถึงมัน

“รัชทายาทฟง เจ้าคิดอย่างไรกับการขับร้องและเต้นรำของสาวงามแห่งเทียนหลง?”

ฟงหลิงยิ้มแล้วกล่าว “พวกนางทำให้ชุ่มชื่นใจ ยามมองต้องสุนทรีย์ กระทั่งคำว่า ‘อัศจรรย์’ ยังไม่พอควรค่า อาณาจักรเทียนหลงไม่เพียงมีภูเขาและแม่น้ำสวยงาม กระทั่งโฉมสะคราญยังมีอยู่มากมาย” เมื่อเขากล่าวประโยคสุดท้าย สายตาที่มองมากลายเป็นเหม่อลอย แบบเดียวกับที่เป็นมาตลอดทั้งวัน เขากล่าวต่อ “ก่อนที่ข้าจะออกจากอาณาจักรของตน ข้าได้ยินเรื่องราวสุดยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์แห่งตระกูลเย่ ผู้ที่ทำให้โลกสั่นสะท้านด้วยภาพวาดและเพลงขลุ่ย กระทั่งผู้คนนับพันยังต้องหลั่งน้ำตา ข้ารอเวลาที่จะได้พบกับชายผู้นี้ แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ข้าไม่อาจพบเขาได้ น่าเสียใจนัก”

“โอ้? รัชทายาทฟง เจ้าสนใจเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ? หวูเฉินนับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่ยากจะพานพบในรอบร้อยปี หากเจ้าต้องการพบเขาจริงๆ บางทีวันหน้าเจ้าอาจมาเยี่ยมเยือนอาณาจักรเทียนหลงของข้าอีกครั้ง ได้เที่ยวชมมาตลอดวัน เจ้าได้พบเห็นสิ่งใดบ้าง?” จักรพรรดิยกถ้วยสุราขึ้นเบื้องหน้าแล้วถามอย่างมีสติ

ฟงหลิงยกถ้วยสุราขึ้นด้วยสองมือ มีท่าทีนอบน้อมเล็กน้อย เขาชนถ้วยสุราด้วยกันแล้วจิบคำหนึ่ง เขายิ้มเล็กน้อย “เมื่อข้ามาที่นี่และเที่ยวชมอาณาจักรอันลือเลื่องของท่านด้วยตา ข้าจึงได้พบว่าอาณาจักรแห่งนี้ยอดเยี่ยมด้วยภูเขาและแม่น้ำงาม ประชาชนอาศัยอยู่อย่างสงบร่มเย็น” เขาวางถ้วยสุราลง ยับยั้งรอยยิ้ม จากนั้นถอนหายใจบาง “ข้าไม่อยากเห็นภูเขางามและแม่น้ำเหล่านี้ต้องถูกเหยียบย่ำ”

“โอ้?” หลงหยินหรี่ตาลง เขากล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ “เจ้าหมายความว่าเช่นไร รัชทายาทฟง? อาณาจักรเทียนหลงของข้าสงบสุขมาตลอด ความวุ่ยวายภายในยากนักที่จะปรากฎ และพวกเราไม่เคยแส่หาสงครามภายนอกใดๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ภูเขาและแม่น้ำของข้าจะถูกเหยียบย่ำ?”

ฟงหลิงส่ายศีรษะ สีหน้าเขาไร้อารมณ์ยกเว้นท่าทีที่แสดงออก เขาไม่ตอบคำถามหลงหยินแต่กล่าวอย่างผิดหวัง “วันนี้ทุกสถานที่ที่ข้าได้ไปเยี่ยมชมมา ทั้งตระกูลเย่ , ตระกูลฮั่ว , ตระกูลชูเกอ... ค่ายฝึกทหาร , ค่ายทัพ , ราชวิทยาลัย , คลังอาวุธ , คลังยุทธภัณฑ์ , ข้าได้ไปดูมาทั้งหมด ฟงหลิงขอบคุณที่ฝ่าบาทมีน้ำพระทัย วันนี้ฟงหลิงได้ประจักษ์กับตา อาณาจักรรุ่งโรจน์ของท่านมีทัพทหารเกรียงไกร มีอาชาทรหด มีขวัญกำลังทัพที่โชติช่วง ทุกหมู่นายล้วนหาญกล้าทุกรูปนาม ทุกหนึ่งทหารกล้าของท่าน สามารถฟาดฟันได้สิบศัตรู ข้านับถือพวกเขาอย่างยิ่ง ตระกูลฮั่วแห่งอาณาจักรเทียนหลงมีคลังยุทธภัณฑ์พิเศษ น่าเกรงขามเพียงพอข่มขวัญทุกหนแห่ง แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าว และข้าคิดว่าฝ่าบาทคงไม่อยากได้ยิน”

งานเลี้ยงอาหารค่ำนี้จัดขึ้นเพื่อรัชทายาทต้าฟงโดยเฉพาะ งานดำเนินผ่านมาแล้ว 15 นาที หลงหยินผู้มีจิตใจปลอดโปร่งมาตั้งแต่เริ่มต้น ตอนนี้เริ่มสังเกตเห็นแววตาเคลื่อนไหวของฟงหลิง เหมือนกำลังลังเลขณะเอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เสแสร้ง หลงหยินรู้ว่าเขามีบางสิ่งที่ไม่ต้องการพูด บางสิ่งที่หากเผยออกมาย่อมหมายถึง ‘ความปลอดภัย’ ของอาณาจักรเทียนหลง

หลงหยินโบกมือ เครื่องดนตรีเบื้องล่างทุกชิ้นหยุดในทันที สตรีที่เต้นรำงดงามหยุดฝีเท้าสร้างความบันเทิง พวกนางค่อยๆเคลื่อนกายนอบน้อมมาหยุดยืนเรียงกันอยู่ด้านหนึ่ง ดูเหมือนพวกนางจะถูกฝึกมาเป็นอย่างดี งานเลี้ยงรื่นเริงกลายเป็นเงียบสนิทในฉับพลัน ขุนนางนายพลที่คุยกันเจื้อยแจ้วพากันเงียบเสียง และมองไปที่หลงหยิน

หลงหยินหัวเราะแล้วกล่าว “รัชทายาทฟง เดาว่าเรื่องที่เจ้ากำลังจะกล่าว ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ข้าจะไม่ยอมให้มีเสียงใดมารบกวน ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจน เอาละ รัชทายาทฟง เจ้าจงพูดสิ่งที่ต้องการ จงอย่ากังวลและกล่าวออกมา”

ทุกสายตาจับจ้องที่ฟงหลิง ทุกผู้คนด้านล่างต่างขมวดคิ้วมุ่น พวกเขาเงี่ยหูรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ด้วยกลัวว่าจะพลาดถ้อยคำ แม้เผชิญกับการกดดันของหลงหยิน ฟงหลิงก็ยังสงบ เขามองไปรอบๆแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ที่ฟงหลิงอยากจะกล่าวก็คือ ถึงแม้ว่าอาณาจักรของท่านจะรุ่งเรืองด้วยทหารกล้า , มีม้าทรหด และเกรียงไกรเหนือประมาณ แต่เทียบกับอาณาจักรต้าฟงของข้าแล้ว ก็ยังนับว่าด้อยกว่า”

ทั่วทั้งราชวังบรรยากาศกลายเป็นเงียบสนิท รัชทายาทแห่งต้าฟง ผู้มีกิริยามายาทดี ในที่สุดยามนี้ก็กล่าวบางสิ่งที่คุกคามอาณาจักรเทียนหลง เป็นถ้อยคำที่คาดไว้ไม่มีผิด และตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจะโต้กลับด้วยฝีปากคมกล้า

“ด้อยกว่าแล้วยังไง” เย่เว่ยที่อยู่เบื้องล่างเอ่ยออกมา ด้วยความเข้าใจอาณาจักรต้าฟง ในอาณาจักรเทียนหลงไม่มีใครเหมาะสมยิ่งกว่าเขา เขากล่าวด้วยใบหน้าเฉยชา “ถึงแม้กองทัพต้าฟงของท่านจะยิ่งใหญ่ ทัพทหารเทียนหลงของพวกเราพร้อมประจัญหน้าไม่เกรงกลัวความตาย มันผู้ใดที่กล้าทำลายมาตุภูมิของพวกเรา แม้พวกเราทหารตกตายก็จะใช้ร่างโลหิตขวางทางพวกมัน ศึกรบหน้าป้อมปราการในวันนั้น วันที่ทัพทหารสามหมื่นของข้าเอาชนะทัพเจ็ดหมื่นของต้าฟง เกรงว่าตอนนั้นท่านจะยังเป็นเด็กร้องไห้หาอาหาร จะดีกว่าหากท่านไม่กล่าววาจาอวดเบ่ง เพาะมีแต่จะทำตัวเองให้เป็นที่หัวเราะ”

พารัชทายาทต้าฟงเที่ยวชมมาทั้งวัน เย่เว่ยที่โกรธแค้นอาณาจักรต้าฟงอยู่แล้วยิ่งสุมความโกรธอยู่คับอก เวลานี้วาจาของเขาหยาบคาย ประโยคสุดท้ายไร้ความเคารพต่อรัชทายาทต้าฟงโดยสิ้นเชิง เหล่าขุนนางนายพลรู้สึกสาแก่ใจที่สุดเมื่อได้ยิน กระทั่งหลงหยินก็เช่นกัน แต่สีหน้าเขายังเคร่งขรึมขณะว่ากล่าว “ขุนพลเย่อย่าเสียมารยาท” จากนั้นเขายกถ้วยสุราขึ้นแล้วเอ่ย “มา รัชทายาทฟง งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับเจ้าโดยเฉพาะ อย่าได้คุยถึงเรื่องที่ทำให้เสียบรรยากาศ เรามาดื่มกันต่อ”

ฟงหลิงไม่ได้ยอมรับน้ำใจ เขามองที่เย่เว่ยแล้วกล่าว “ถึงแม้ประสบการณ์ของข้ายังน้อยนิด แต่ข้าก็รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับสงครามที่ผ่านมา ข้าไม่เคยสงสัยความกล้าหาญและพลังของขุนพลตระกูลเย่ พระบิดาข้ามักกล่าวถึงอยู่เสมอ เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวเหล่าขุนพลแห่งตระกูลเย่ เพราะว่าเขาประสบความพ่ายแพ้ในวันก่อน แต่ขออภัยที่ฟงหลิงต้องกล่าว...”

เขาพลันตั้งกายตรงบนที่นั่ง ทอดสายตามองจักรพรรดิและขุนนางนายพลทุกผู้ แสดงความสูงส่งมั่นใจ เขากล่าวอย่างหนักแน่น “พระบิดาข้าไม่เคยลืมเป้าหมายปกครองทั้งโลกหล้า เหล่าขุนนางและทหารแห่งต้าฟงไม่เคยลืมความคิดสยบโลก พวกเขาไม่เคยลืมความพ่ายแพ้เจ็บปวดเมื่อ 20 ปีก่อน แม้ว่าอาณาจักรของข้าชื่อว่าต้าฟง(วายุยักษ์) แต่สิ่งที่ผู้คนเกรงกลัวที่สุดคือพายุขนาดใหญ่ ในทางตะวันตกของอาณาจักรต้าฟง ยามที่ลมกรรโชกมา พายุทรายจะปกคลุมไปทั่วทุกที่ ยิ่งห่างไปทางตะวันตกไกลเท่าไหร่ แผ่นดินยิ่งยากลำบากต่อผู้คนดำรง ทั้งภัยพิบัติและโรคภัยล้วนปรากฎถ้วนถี่ ผู้คนต่างมีอายุขัยสั้น พวกเขาปรารถนามีบ้านพักพิงในอาณาจักรเทียนหลง ได้อยู่อย่างสงบมีชีวิตรุ่งเรือง ไม่ต้องเจอภัยพิบัติและความแห้งแล้ง... เพราะพวกเขามีเป้าหมาย พวกเขาจึงสมัครใจเข้าร่วมกองทัพ เพราะความล้มเหลวเมื่อ 20 ปีก่อน ทำให้พวกเขาพยายามอย่างหนักและเสียสละตนเองมาตลอด 20 ปี...”

“เจ้ากำลังพยายามจะพูดสิ่งใด?” หลงหยินยืนขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าพยายามจะบอกข้าว่า อาณาจักรต้าฟงของเจ้าไม่เคยลืมความคิดทะยานและต้องการรุกรานอาณาจักรเทียนหลงของข้า และสร้างความทุกข์ทรมานให้ประชาชนของข้าใช่หรือไม่!?”

“ถูกต้อง” ฟงหลิงไม่แม้กระทั่งหลีกเลี่ยง เขาตอบชัดเจนราบเรียบ จากนั้นดึงกระดาษสีแดงออกจากอกเสื้อแล้ววางไว้เบื้องหน้าหลงหยิน “ตามแผนเดิม ฟงหลิงคิดจะแจ้งฝ่าบาทในวันที่สองพร้อมกับจากไป แต่ตอนนี้ ฟงหลิงต้องกล่าวตามตรง ว่าที่ข้ามาเยี่ยมเยือนอาณาจักรเทียนหลง ประการแรกเพื่อทำความเข้าใจ ประการที่สองเพื่อประเมินพลังทัพและความรุ่งเรือง ประการที่สาม...” สายตาเขาขยับไหว ทุกถ้อยคำกล่าวอย่างหนักแน่น “ในฐานะตัวแทนของพระบิดา... ข้ามาที่นี่เพื่อประกาศสงคราม!!”

“อะไรนะ!?”

ประโยคสุดท้ายราวกับสายฟ้าฟาด ขุนนางนายพลที่อยู่เบื้องล่างไม่อาจสงบได้อีก ทีละคนเริ่มลุกขึ้นยืน ทุกผู้คนล้วนตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว บางคนมีสีหน้ากังวล แผ่นหลังหลั่งร่วงด้วยหยดเหงื่อเย็น เมื่อจักรพรรดิฟงเลี่ยแห่งต้าฟงขึ้นครองบัลลังก์ พวกเขารู้ว่าความทะเยอทะยานของฟงเลี่ยไม่เคยจางหาย เขาจะต้องคืบคลานรุกรานอาณาจักรเทียนหลง แต่พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ จักรพรรดิที่พึ่งขึ้นครองบัลลังก์กลับกล้าประกาศสงคราม ฟงเลี่ยมันกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่!?

หลงหยินหยิบราชสานส์สีแดงขึ้นมาแล้วกวาดตาอ่าน เขาแค่นเสียงเย็นชาแล้วฉีกมันทิ้ง ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดฟงเลี่ยถึงให้ฟงเฉาหยางตามมาปกป้องมัน เพราะไม่อย่างนั้นหลงหยินคงจับฟงหลิงเป็นตัวประกันแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าฟงเลี่ยจะประกาศสงครามในเวลานี้ เมื่อจักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคตด้วยโรคภัย กลับเป็นเวลาที่อาณาจักรเทียนหลงหละหลวมที่สุด พวกเขาไม่เหลือเวลาเตรียมตัวรับมือสงคราม

“ดีมาก ฟงเลี่ย เฮอะ! เพราะความทะเยอทะยานของมัน กระทั่งไม่สนใจว่าตัวมันเพิ่งครองราชย์เป็นจักรพรรดิใหม่ ยังไม่ทันทำทัพให้มั่นคง อำนาจปกครองก็ยังไม่นิ่ง มันกลับประกาศสงครามระหว่างสองอาณาจักร มันคร้านจะครองบัลลังก์เป็นเวลานานหรือยังไง?!”

บรรยากาศงานเลี้ยงพลิกกลับอย่างสิ้นเชิง เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีมลายหาย แทนที่ด้วยจิตสังหารคละคลุ้งทั่วบริเวณ ในเวลานี้ หากไม่เป็นเพราะมีฟงเฉาหยางอยู่ คงมีหลายผู้คนพุ่งมากระทืบฟงหลิงด้วยทุกสิ่งที่มี

“ฝ่าบาท มีบางอย่างที่ท่านกล่าวไม่ถูกต้องนัก” ฟงหลิงไม่สนใจสายตาที่มองมาราวพยัคฆ์มองเหยื่อ ท่ามกลางสายตาเดือดดาล เขายังคงกล่าววาจาราบเรียบ “ห้าปีก่อนท่านปู่ของข้ารู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก แม้เขาจะยังคงครองบัลลังก์ แต่เรื่องทุกอย่างในราชสำนักเป็นพระบิดาจัดการ อำนาจปกครองของพระบิดาเหนือล้ำกว่าท่านปู่ ท่านปู่และพระบิดาได้ตกลงเห็นชอบร่วมกัน ว่าเมื่อใดที่ท่านปู่สิ้นพระชนม์ลง นั่นคือเวลาที่จะกรีฑาทัพเข้าย่ำยีอาณาจักรเทียนหลง!”

“เดิมที อาณาจักรต้าฟงของข้าสามารถโจมตีอาณาจักรเทียนหลงได้โดยที่พวกท่านไม่ทันตั้งตัว แต่พระบิดาไม่อยากเห็นภูเขาและสายธารงามกลายเป็นโลหิต ดังนั้น... หากอาณาจักรเทียนหลงของพวกท่านยอมศิโรราบไม่คิดต่อกร นั่นจะนับว่าดีที่สุด เมื่อไร้สงคราม ท่านและข้ารวมทั้งประชาชนก็จะอยู่อย่างสงบ เทียนหลงจะตกเป็นของอาณาจักรต้าฟง หากไร้สงครามก็จะไร้ธารโลหิตในเทียนหลง ผลลัพธ์สุดท้ายผู้ชนะย่อมเป็นอาณาจักรต้าฟง ฝ่าบาท กองทัพยิ่งใหญ่ของต้าฟงนั้นเหนือกว่าที่ท่านคาดคิดไว้มากนัก โปรดทบทวนดูให้ดี” ฟงหลิงถอนหายใจเล็กน้อย เป้าหมายอีกอย่างที่มาที่นี่คือกล่อมให้พวกเขายอมแพ้ แม้เขาและฟงเลี่ยจะเชื่อว่าการยอมแพ้โดยไม่เกิดสงครามนั้นแทบไม่มีโอกาสเลย

ก่อนที่หลงหยินจะได้พูดสิ่งใด ขุนนางนับร้อยที่อยู่เบื้องล่างพากันเริ่มเย้ยหยัน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ยอมแพ้โดยไม่เกิดสงคราม? เจ้าฝันไปเถอะ! อาณาจักรเทียนหลงของข้าไม่เคยกลัวพวกเจ้า เจ้าพวกหมาป่าทะยานต้าฟง”

“อาณาจักรที่เคยพ่ายแพ้ย่อยยับกลับกล้ากล่าวถ้อยคำเพ้อเจ้อ น่าหัวเราะยิ่งนัก!”

“เฮอะ โอหัง อาณาจักรเทียนหลงของข้าก่อตั้งมากว่าพันปี ย่อมไม่ถูกสั่นคลอนโดยง่ายเพราะอาณาจักรเล็กจ้อย ต่อให้พวกเราต้องต่อสู้จนตัวตาย พวกเราก็จะไม่ยอมให้บรรพบุรุษต้องขายหน้า”



<<<PREV    .    NEXT>>>