วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 137

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 137 เสียงจากที่ไกล

“แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะไม่แต่งกับข้า หาก...หากว่าท่านยังไม่อยากแต่งตอนนี้ ข้าสามารถรอได้ เจ็ด....ถึงสิบวัน ข้ารอได้” ชูเกอเสี่ยวหยูท่าทางกระมิดกระเมี้ยน วาจาเอาแต่ใจของนางทำให้เย่หวูเฉินขนลุกชันทั่วองคาพยพ

เย่หวูเฉินถอนหายใจอย่างหมดทาง... ดรุณีบ้านางนี้มีผิวหน้าหนาเกินคนธรรมดา ดูเหมือนว่า เขาคงต้องงัดไม้เด็ดขึ้นมาใช้แล้ว

“เสี่ยวหยู เจ้าอายุเท่าไหร่?” เย่หวูเฉินถาม

“ปีนี้ข้าอายุครบ 17 ปี เท่ากับท่าน” ชูเกอเสี่ยวหยูตอบพร้อมกระพริบตาปริบๆ

“17 ปี? ข้าไม่เชื่อเจ้า” เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ

“ข้าอายุ 17 ปีจริงๆ หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองไปถามบิดาของข้าได้”

“เจ้าอายุ 17 จริงๆเหรอ? ปกติกล่าวได้ว่าหญิงสาววัย 17 ต้องโตเต็มวัยแล้ว... อืม ไม่เพียงแค่โตเต็มที่ รูปทรงยังต้องได้ขนาดสมบูรณ์ดีด้วย ข้าละสงสัยจริงๆว่า ถ้าเอามือสัมผัสจะรู้สึกเช่นไร?” เย่หวูเฉินพึมพำกับตัวเอง แขนของเขาที่ถูกนางโอบรัดไว้เริ่มขยับถูไถบนหน้าอกนุ่มของนาง คล้ายกำลังชื่นชมรูปทรงและสัมผัส

ชูเกอเสี่ยวหยูชะงักค้างไปชั่วขณะ จากนั้นอุทานร้องราวกับถูกไฟดูด นางกระโดดออกด้านข้างสองแขนปกปิดหน้าอกตนโดยสัญชาตญาณ ความเอียงอายที่แสร้งทำอย่างยากลำบากพลันหายไป ใบหน้าแสนเสน่ห์เรื่อสีแดงโลหิต “ท่าน...ท่าน...ท่านเอาเปรียบข้า ฮึ่ม!”

นางกระทืบเท้าแล้ววิ่งออกไป

เมื่อนางวิ่งออกจากประตูหลักคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่หวูเฉินหัวเราะคล้ายภูมิใจในตน แม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่กายที่สั่นเล็กน้อยเพราะความกังวลย่อมไม่ใช่ของปลอม เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางย่อมเป็นเพียงเด็กสาวที่ถูกตามใจและไม่เคยใกล้ชิดบุรุษมาก่อน... นางคงกล้าทำอย่างมากแค่กอดเท่านั้น

เขาเงยหน้ามองดูตะวันที่คล้อยลับไปแล้ว ท้องนภาเริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุม หลังหมู่เมฆมีแสงสว่างจางราวหมอกมัว สะท้อนเงาเลือนของพระจันทร์...และเป็นพระจันทร์เต็มดวง

ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขารอดพ้นความตายอย่างหวุดหวิด ครั้งนี้ด้วยมนต์หวูเฉินขั้นสองจะสามารถต้านทานลมปราณทรงพลังนับสิบสาย ที่เกรี้ยวกราดดั่งสัตว์อสูรดุร้ายได้หรือไม่?

ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง เย่หวูเฉินไม่ไปที่ใด เขาทำเพียงนั่งนิ่งมองหนิงเสวี่ยกับทงซินเล่นด้วยกัน ใบหน้าเขามีรอยยิ้ม แต่หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในใจมีเงามืดที่ถาโถมกดดัน... เขารู้ทันทีว่านี่คือสัญญานแห่งความอับโชค เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขาเกิดความรู้สึกแบบนี้เช่นกัน

ในม่านความมืดหมู่เมฆเปิดแหวกออก พระจันทร์เต็มดวงปรากฎสว่างจ้าเป็นพิเศษ ความมืดไม่อาจบดบังแสงจันทร์ มันสว่างอาบไล้ไปทั่วผืนปฐพี

ทันใดนั้น ในอกของเย่หวูเฉินรู้สึกราวถูกศรนับพันเสียบทะลวงร่างกาย ลมปราณนับสิบสายตื่นขึ้นต่อเนื่อง ปั่นป่วนพุ่งพล่านราวกับจะฉีกแขนขาและอวัยวะภายใน ความเจ็บปวดมหึมาแทบจะชำแรกพรากสติตน

เย่หวูเฉินสีหน้าซีดขาว เหงื่อกาฬเย็นเยียบผุดบนหน้าผาก เขาอดกลั้นยืนกรานไม่ส่งเสียงใด ในช่วงที่เจ็บปวดทรมาน เขาทุ่มสติทั้งหมดเคลื่อนพลังทุกส่วนป้องกันร่างของตน ฟื้นฟูอวัยวะภายในที่รวดร้าวจากการถูกทำลาย

ความเจ็บปวดครั้งนี้สามารถทนรั้งรับมือได้มากกว่าครั้งก่อน อย่างน้อยเขาก็ไม่พังยวบลงในเวลาสั้นๆ แต่ความเสียดแทงก็ยังคงรุนแรงในระดับคนทั่วไปไม่อาจจินตนาการ หนิงเสวี่ยและทงซินที่เล่นกันเพลินเสียงดังไม่ทันสังเกตสิ่งใด เขาใช้ความพยายามอย่างสุดแสนเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดทรมาน

ความเจ็บปวดนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน... ไม่ใช่คุ้นเพราะประสบในครั้งก่อน เขาเชื่อสุดใจว่ามีบางสิ่งที่เจ็บปวดทารุณยิ่งกว่านี้ ซึ่งเขาเคยผ่านมันมาหลายครั้งแล้วอย่างแน่นอน ในความเงียบงันเขาทั้งสงสัยว่าตนเองเป็นใคร เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วชีวิตก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร

พลังทั้งหมดของเขาถูกใช้เพื่อปกป้องร่าง อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดนั้นอยู่เพียงไม่กี่สิบอึดใจ ลมปราณน่าสะพรึงเหล่านั้นก็สงบลงอย่างไร้ร่องรอย พลังหวูเฉินเคลื่อนวนด้วยความเร็วยิ่งยวด ฟื้นฟูอวัยวะต่างๆที่ถูกทำลาย ความเจ็บปวดเริ่มลดระงับ จนกระทั่งหายสิ้นหมดลง

“เกิดอะไรขึ้น?” เย่หวูเฉินแปลกใจและกุมหน้าอกของตน ในช่วงเวลาไม่กี่สิบอึดใจ เสื้อผ้าของเขาหลายจุดชุ่มด้วยเหงื่อเย็น

“เด็กเอ๋ย... เจ้าได้ยินข้าหรือไม่...”

เบื้องลึกในจิตใจ มีเสียงบางเบาดังขึ้นมา ยากที่จะได้ยินชัดเจน มันปลุกเย่หวูเฉินขึ้นจากห้วงลึกของความคิด

“ท่านเป็นใคร?” เขาเพ่งสมาธิในจิต ตาทั้งสองข้างปิดลง ใช้ความคิดของตนตอบสนอง เขาสัมผัสได้ว่าต้นกำเนิดของเสียงนี้ แท้จริงแล้วคือพลังหวาดหวั่นที่พึ่งปั่นป่วนและหลับลึกไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา ไม่อาจระบุได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตำแหน่งแห่งใด แต่มีพลังถึงขนาดสื่อสารจากระไกลได้

ฝั่งนั้นเงียบไปอึดใจหนึ่งจากนั้นส่งเสียงหัวเราะอย่างดีใจ “เหอๆๆๆ ดูเหมือนว่าข้าทำสำเร็จแล้ว ข้าใช้เวลากว่าสิบปีเพื่อหาตำแหน่งของเจ้า จากนั้นปลุกเจ้าตื่นขึ้นมา ด้วยพลังที่เหลืออยู่ภายในร่างของเจ้า ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอ”

เย่หวูเฉินรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทั่วร่างเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“ตื่นเถิด เจ้าหลับไหลมานานแสนนาน... จงตื่นขึ้นมา...”

เสียงแรกที่ดังขึ้นในใจ เป็นเสียงแรกที่เขาได้ยินในโลกใบนี้ เสียงนี้ปลุกเขาขึ้นมาหลังจากหลับไหลนานกว่าสิบปี เป็นเสียงที่อ้อยอิ่งในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าของเสียงนี้ย่อมทราบอดีตของเขาและรู้เหตุผลว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ใช่ท่านหรือไม่ที่ปลุกข้าตื่นขึ้นมาในครั้งก่อน? ท่านคือใครกัน? พลังในร่างข้า...เป็นท่านหรือไม่ที่ทิ้งมันไว้?”

เย่หวูเฉินที่โดยปกติสุขุมเยือกเย็น เขาถามรวดเดียวสามข้อ หัวใจเขาสับสนอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นข้าที่ทิ้งพลังนั่นไว้ในร่างของเจ้าจริง คราแรก มันมีไว้เพื่อปกป้องเจ้า แต่ตอนนี้ คิดไม่ถึงว่ามันกลับพร้อมพรากชีวิตของเจ้าได้ทุกเวลา”

“ห้วงอวกาศนั้นกว้างใหญ่ โลกใบนี้หาใช่โลกเพียงหนึ่งเดียว โกลาหลบรรพกาลไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ในตอนนั้น ข้าใช้พลังทั้งหมดเสาะหาเจ้าและปลุกเจ้าตื่นขึ้นมา พลังของข้าฟื้นฟูขึ้นมาเพียงบางส่วน ในระหว่างสามปีนี้ ข้าสามารถติดต่อเจ้าได้ในช่วงพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น เพราะในคืนจันทร์เต็มดวง จะเป็นเวลาที่ปราณโกลาหลบรรพกาลแกร่งกล้าที่สุด และเป็นเวลาที่เจ้ากับข้าเข้มแข็งที่สุด พลังที่ทะลักล้นออกมาจากในร่างเจ้าเป็นเพราะสาเหตุนี้”

“ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด... ก่อนอื่น บอกข้ามาว่าท่านคือใคร” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว

“กลายเป็นว่า เจ้าสูญเสียความทรงจำในอดีต นางพูดถูกจริงๆ... ตอนนั้นเจ้าอายุได้เพียง 7 ขวบ ดังนั้นร่างโกลาหลบรรพกาลจึงยังก่อตัวไม่สมบูรณ์ การใช้พลังโกลาหลบรรกาล จำเป็นต้องมีร่างโกลาหลฯจึงจะสามารถเคลื่อนพลังได้ พลังที่ตีกลับทำให้เจ้าสูญเสียความทรงจำ จากนั้นตกเข้าสู่ห้วงนิทราลึกยิ่ง ถึงแม้เจ้าจดจำรายละเอียดบางสิ่งได้ชัดเจน แต่เจ้าจะลืมชีวิตของตน”

เย่หวูเฉิน “!!”

“...เวลาของข้ามีจำกัดนัก เพื่อเร่งฟื้นฟูพลังของข้า ข้าจะไม่ติดต่อเจ้าอีกต่อไป เจ้าจงจำไว้ว่า พลังของพวกเรามีต้นกำเนิดจากโกลาหลบรรพกาล ตราบใดที่พลังเข็มแข็งพอ เจ้าสามารถหลอมรวม , จำแนก , ฟื้นฟู , และทำลายได้ทุกสิ่ง เมื่อพลังของเจ้าแกร่งกล้าขึ้น มันจะเชื่อมโยงเข้ากับพลังที่ข้าทิ้งไว้ให้ยิ่งกว่าเดิม ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้ตลอดไป... ที่เจ้าควรทำคือเร่งช่วยตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ในวันที่เจ้าบรรลุพลังถึงขั้นเจ็ด เจ้าจะได้ทุกสิ่งกลับคืน...”

เย่หวูเฉินยังคงไม่ลืมคุณสมบัติพิเศษของพลังประหลาดที่เขาครอบครอง ตอนที่เขาใช้หยดโลหิตเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่ เขาใช้พลังหวูเฉินประสานโลหิตเข้าด้วยกัน ด้วยพลังนี้ เขาสามารถผสานโลหิตของตนเข้ากับโลหิตใครก็ได้

น้ำเสียงเริ่มอ่อนบางและจางลง ราวกับพร้อมเลือนหายทุกขณะเวลา เย่หวูเฉินถามอย่างรีบร้อน “ท่านยังไม่ได้บอกข้าว่าท่านคือใคร? เหตุใดข้าถึงอยู่ที่นี่?”

“......”

ความรู้สึกประหลาดลบหายไปโดยสมบูรณ์ เย่หวูเฉินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกแล้วลืมตาขึ้น บุคคลผู้นั้นได้หายไปแล้ว

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน , สงบ และเยาว์วัย เจ้าของเสียงนั้นสมควรอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี ทุกถ้อยคำที่เขากล่าวล้วนกระตุกจิตใจส่วนที่ลึกที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้ทั้งลึกลับและอบอุ่น เย่หวูเฉินจดจำทุกคำพูดของเขาเอาไว้ในจิตใจ เขานั่งลงตรงนั้นสงบความคิดและไม่กล่าวคำ

ร่างโกลาหลบรรพกาล... ปราณโกลาหลบรรพกาล... พลังโกลาหลบรรพกาล...

คนผู้นั้นคือเจ้าของพลังน่าหวาดหวั่นในร่างของเขา... จากที่หนานเอ๋อร์เคยกล่าว มันคือพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ

พลังของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน ก่อกำเนิดขึ้นจากโกลาหลบรรพกาล เป็นไปได้หรือไม่ว่า...

เขาลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกหนิงเสวี่ย ยิ้มให้นางแล้วกล่าว “มาเถอะ ไปอาบน้ำกัน วันนี้เราจะเข้านอนกันเร็ว”

ตั้งแต่มาถึงยังทวีปเทียนเฉินจนกระทั่งถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เบาะแสเกี่ยวกับอดีตของตน สิ่งที่คนผู้นั้นบอกทำให้ชัดเจนแล้วว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเขาไม่ได้คิดไปเอง... เมื่อยามที่บรรลุพลังสูงสุด นั่นคือเวลาที่เขาจะสามารถจดจำอดีตของตน

คืนนั้นเขาไม่อาจหลับลง เขาใช้เวลาคิดคำนวณความเป็นไปได้มากมายตลอดคืน

วันต่อมาท้องฟ้ายังคงดำมืด เขาไปที่วังหลวงและร้องขอต่อหลงหยิน ในเมื่อหลงหยินกล่าวไว้ว่าเขาสามารถเอ่ยปากขอสิ่งใดก็ได้ที่จำเป็น ดังนั้นเขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้หลุดมือได้อย่างไร

“ข้าต้องการกระบี่ ฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้ข้าเลือกจากคลังสมบัติของท่านได้หรือไม่?”

คลังสมบัติคือหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดของพระราชวังเทียนหลง ข้างในเก็บรักษาสมบัติหายากที่ไม่อาจประเมินค่าไว้มากมาย มีอาวุธมหัศจรรย์แทบทุกประเภทที่ผู้คนฝันถึง

หลงหยินมุ่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้ารับคำ “ตกลง ข้าจะยกเว้นเจ้าให้เข้าไปในคลังสมบัติได้หนึ่งครั้ง เจ้าสามารถเลือกเอาอาวุธใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าคลังสมบัติคือสถานที่เก็บรักษาสมบัติหายาก ซึ่งราชตระกูลเทียนหลงของข้าสะสมไว้ตลอดเวลาหลายปี เจ้าสามารถเลือกได้เพียงหนึ่งชิ้น และเลือกได้เพียงหนึ่งครั้ง ข้าได้สร้างข้อยกเว้นพิเศษอนุญาตให้เจ้าเข้าไปข้างใน และข้าจะไม่ให้เจ้าเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง”

“หวูเฉินทราบแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“อาวุโสหลี่ นำทางเขาไป”

ร่างชราปรากฎขึ้นเบื้องหน้าเย่หวูเฉินราวกับหมอกควัน เขาก้มศีรษะต่ำแล้วกล่าว “มากับข้า”

ความมีอยู่ของคลังสมบัตินี้ไม่ได้ถือเป็นความลับ เย่หวูเฉินได้ยินจากปากของเย่เว่ย แต่ระดับการป้องกันนั้นแน่นหนาจนผู้คนต้องขนหัวลุก ด้วยมีชายชราเดินนำทาง เขาใช้วิธีการประหลาดเปิดกลไกประตูถึงหกบาน จากนั้นจึงเข้ามาถึงด้านในหอสมบัติในตำนาน



<<<PREV    .    NEXT>>>