วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 163

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 163 นางเซียนและนางมาร

เสวี่ยเฟยเยี่ยนเคลื่อนเข้าหาหนิงเสวี่ย “ข้าไม่เคยหลอกลวงผู้ใด น้องหญิง หากใบหน้าของเจ้าไม่มีแผลเป็น เจ้าจะต้องงดงามยิ่งกว่าข้า”

นางยื่นมือสัมผัสรอยแผลเป็นของหนิงเสวี่ย หนิงเสวี่ยกระพริบตาและไม่ขัดขืน นางได้ยินเย่หวูเฉินเอ่ยขึ้นมา “ขอบคุณที่ท่านมีน้ำใจ เพียงแต่แผลเป็นของหนิงเสวี่ยไม่ใช่รอยแผลธรรมดา หากรักษาได้ ข้าคงรักษาให้นางนานแล้ว”

เสวี่ยเฟยเยี่ยนหยุดขยับแล้วเก็บมือกลับ “ยอดรัก ในที่สุดเจ้าก็พูดความจริงกับข้า ข้าพบผู้คนมาก็มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นแผลเป็นแบบนี้ น้องหญิง เจ้าเรียกว่าเสวี่ยเอ๋อร์ใช่มั้ย? อย่าห่วงเลย พี่หญิงจะรักเจ้าเหมือนที่พี่ชายเจ้ารัก”

“ถ้าอย่างนั้น พี่หญิงบอกข้าได้รึเปล่า ว่าทำไมร่างกายของท่านพี่ถึงได้ร้อนขึ้น? ทั้งที่ท่านพี่ไม่ได้กลัวไฟแท้ๆ” หนิงเสวี่ยถาม นางห่วงใยพี่ชายของนางอย่างแท้จริง และไม่ลืมที่จะถามคำถามนี้

หนิงเสวี่ยไม่รู้สาเหตุ แต่เมิ่งจื่อเหมือนจะเดาได้ แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่นางก็ถูกดึงดูดเพราะดวงหน้างดงามของเสวี่ยเฟยเยี่ยน นางกระทั่งเชื่อว่าสตรีผู้นี้สามารถล่อลวงบุรุษได้ทุกคน...รวมทั้งเย่หวูเฉิน เมื่อครู่นี้พวกเขาทำอะไรกันในป่า นางสามารถจินตนาการได้เป็นอย่างดี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หัวใจนางยิ่งไม่สบาย

“นางจิ้งจอก” นางหลุดปากออกมา แม้จะเป็นเสียงที่เบามาก แต่เย่หวูเฉินและเสวี่ยเฟยเยี่ยนสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

“น้องหญิงผู้นี้ ข้าดูเหมือนนางจิ้งจอกจริงๆหรือ?” เสวี่ยเฟยเยี่ยนเคลื่อนสายตาไปที่เมื่อจื่อ มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองใบหน้าและหน้าอก มองสะโพกและเรียวขา... นางใช้สายตาเปลือยเปล่ามองรุกราน เมิ่งจื่อรู้สึกราวกับว่าถูกสัมผัสทั่วเรือนร่าง แม้ว่าเสวี่ยเฟยเยี่ยนจะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่นางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์เย้ายวน สายตานั้นทำให้นางรู้สึกอาย นางทำได้แค่ฝืนตัวเองแล้วกล่าวออกไปด้วยความโกรธ “อย่าใช้สายตาแบบนั้นของท่านมองมาที่ข้า”

“โอ้?” เสวี่ยเฟยเยี่ยนแปลกใจ นางตอบกลับด้วยนึกสนุกยิ่งขึ้น “น้องหญิง ไม่ว่าผู้คนจะงดงามหรือน่าเกลียด ทุกคนต่างถูกมองโดยผู้คน เจ้าให้ข้ามองหน่อยไม่ได้หรือ? หรือจะมีบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบาย? โอ้! ข้ารู้แล้ว... ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ เจ้ามีเรือนร่างสมบูรณ์แบบและผิวพรรณนุ่มนวล แต่เจ้ากลับปิดบังใบหน้าตัวเอง เจ้าต้องน่าเกลียดมากแน่ๆ หรือไม่ก็มีบางสิ่งบนใบหน้าที่ไม่อยากให้คนเห็น” เสวี่ยเฟยเยี่ยนหุบยิ้มลงแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย “น่าสงสาร น้องหญิง ในฐานะที่เป็นสตรีด้วยกัน ข้ารู้ว่าใบหน้าคือส่วนสำคัญที่สุดของหญิงสาว ไม่เช่นนั้น ต่อให้เป็นหญิงที่มีเรือนร่างงดงามสมบูรณ์ ก็ย่อมไม่มีใครต้องการนาง ข้าไม่คิดเลยว่าน้องหญิงที่มีรูปร่างเลิศเลอกลับมีหน้าตาน่าเกลียด น้องชายน้อย ทำไมเจ้าถึงเลือกเริงรมณ์กับน้องหญิงน่าเกลียดผู้นี้ แต่กลับปฏิเสธพี่หญิง?”

เย่หวูเฉินหัวใจสั่นระริก เขาพูดเสียงเบา “อย่าพูดเช่นนั้น ข้ากับนางไม่ได้มีสัมพันธ์แบบที่ท่านคิด”

เสวี่ยเฟยเยี่ยนพลันรู้เรื่องราว สายตาสงสารจับจ้องที่ใบหน้าเมิ่งจื่อ นางกล่าวแสดงความเสียใจ “ไม่แปลกใจเลย น้องชายน้อยมีหน้าตาหล่อเหลา เขาจะชอบน้องหญิงน่าเกลียดที่ไม่ยอมให้ผู้คนเห็นหน้าได้อย่างไร? กลายเป็นว่า แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ชมชอบนาง...”

“ท่านสิน่าเกลียด!” เมิ่งจื่อขบริมฝีปากแน่น สุดท้ายนางก็เถียงกลับ พูดถึงเรื่องการโต้เถียง นางเป็นผู้ที่พบเจอผู้คนมาน้อย จึงไม่อาจชำนาญในการโต้แย้ง ดังนั้นนางจึงไม่ใช่คู่มือของนางมารเสน่ห์ ขณะที่นางเถียงกลับ นางรู้สึกได้ว่า ทักษะการเถียงของนางอ่อนด้อยน่าหัวเราะอย่างยิ่ง เนื่องจากความงามของเสวี่ยเฟยเยี่ยนนั้นพิสูจน์อยู่ต่อหน้า งดงามเพียงพอที่จะล่มอาณาจักร

“ข้าน่าเกลียดจริงๆ น้องชายน้อยถึงได้ปฏิเสธความรักของข้า แต่แม้ว่าข้าจะน่าเกลียด ข้าก็ยังดีกว่าบางคนที่ปกปิดหน้าตาไม่ยอมให้ผู้คนเห็น น้องหญิงเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าพูดถูกมั้ย?”

หนิงเสวี่ยกระพริบตาปริบ ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไร นางเริ่มได้กลิ่นตุๆของประกายไฟลุกพรึ่บระหว่างพวกนางทั้งสอง

ลมหายใจของเมิ่งจื่อยิ่งแรงขึ้น ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะ แม้ว่าขนาดจะไม่เต็มที่เหมือนกับของเสวี่ยเฟยเยี่ยน แต่ก็นับได้ว่ามีรูปทรงสมบูรณ์ แม้พวกมันจะถูกปกคลุมด้วยชั้นผ้าก็ตาม ตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก นอกจากเสวี่ยเฟยเยี่ยนก็มีเพียงเย่หวูเฉินที่หยาบคายใส่นาง แต่เสวี่ยเฟยเยี่ยนเป็นเพียงสตรี...ในสายตาของเย่หวูเฉิน

บางทีอาจเป็นเพราะความอิจฉาในกมลของอิสตรี บางทีปรารถนามีชัย บางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น นางหัวร้อนและเกิดอารมณ์ชั่ววูบ กระชากผ้าคลุมหน้าออกจากใบหน้าของนาง เชิดศีรษะขึ้นสูงแล้วตะโกน “ทีนี้ใครเป็นน้องหญิงน่าเกลียด?!”

เมื่อเมิ่งจื่อและเสวี่ยเฟยเยี่ยนปะทะฝีปากกัน เย่หวูเฉินคิดไว้แล้วว่าเมิ่งจื่อต้องพ่ายแพ้แน่ๆ ผลลัพธ์เมื่อแพ้คือเมิ่งจื่อดึงผ้าคลุมออกจากหน้านาง สำหรับสตรี วิธีที่ได้ผลดีสุดคือวิจารณ์รูปลักษณ์ของนาง นอกจากว่าเป็นเซียนตัวจริง มีสตรีน้อยนิดที่สามารถอดทน

เมื่อใบหน้าของนางปรากฎต่อสายตา มันเขย่าจิตใจของเย่หวูเฉิน ราวกับร่วงหล่นลงสู่ห้วงภวังค์ เป็นใบหน้างามพริ้งไร้ที่ติ สวยสดงดงาม รวมกับทรวดทรงเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบ จนสตรีทุกผู้คนต้องฝันถึง ห่อหุ้มด้วยบรรยากาศสูงส่งและสง่างาม บริสุทธิ์สดใหม่ราวกับบัวหิมะ หมดจดราวกับเทพธิดา แตกต่างจากเสน่ห์ของเสวี่ยเฟยเยี่ยนโดยสิ้นเชิง พวกนางยืนจ้องกันและกัน หนึ่งยิ้มหวานเปี่ยมเสน่ห์ อีกหนึ่งเย็นชา-ยโสจนคล้ายบูดบึ้งอยู่บ้าง เย่หวูเฉินรู้สึกราวกับตนอยู่ระหว่างการเผชิญหน้าของนางเซียนและนางมาร

แต่นางเซียนผู้ขาวกระจ่างนี้ยังไร้เดียงสา ส่วนนางมารนั้นเชี่ยวชาญเจ้าเล่ห์ หากต้องเปรียบกันแล้ว... นางเซียนจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ไม่กี่วันที่ผ่านมา นับว่าถูกต้องแล้วที่เรียกนางว่านางเซียน ด้วยธรรมชาติของนาง ทั้งร่างลักษณะและอุปนิสัย ยิ่งนางเย็นชา...ยิ่งนางจริงจัง...ยิ่งนางไม่แยแส ก็ยิ่งไม่เป็นการเกินเลยที่จะเรียกนางว่าเป็นนางเซียนแห่งโลกมนุษย์” เย่หวูเฉินลอบชื่นชมอยู่เงียบๆ จริงๆแล้วภาพนางเซียนของเมิ่งจื่อ และภาพนางมารของเสวี่ยเฟยเยี่ยนนั้นเหมือนกัน คือต่างสืบเชื้อสายมาโดยธรรมชาติ ผู้ใดไม่อาจลอกเลียนแบบภาพลักษณ์เหล่านี้ได้ ต่อให้ฝึกฝนอย่างหนักก็ตาม เย่หวูเฉินยิ่งสนใจกำเนิดที่มาของเมิ่งจื่อ ระหว่างที่ร่วมเดินทางกันมาหลายวัน เขาได้คาดเดาบางสิ่งไว้แล้ว แต่เวลานี้เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง เขากลับเริ่มสงสัยในสิ่งที่คาดเดาไว้ก่อนหน้า

“พี่หญิงเมิ่งเองก็สวยมากๆด้วย” หนิงเสวี่ยอุทานออกมาอย่างตะลึง เมื่อได้ยินคำนี้ เมิ่งจื่อยิ่งเชิดศีรษะสูงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นโดยแทบไม่รู้ตัว นางลอบแลหางตามองที่เย่หวูเฉิน เพียงพบว่าเขากำลังยิ้มมองมา นางหลบสายตาอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย 

ใบหน้าของเสวี่ยเฟยเยี่ยนทั้งตะลึงและพึงใจในตน นางป้องปากและหัวเราะ “ไม่เลวจริงๆน้องหญิง เหตุใดต้องปิดบังใบหน้าอยู่ตลอดเวลา หน้าตาเช่นนี้ย่อมร่วมรื่นรมณ์กับยอดรักของข้าได้ พี่สาวผู้นี้ไม่ถือสาหากน้องหญิงจะร่วมสถานเดียวกัน เป็นหงส์คู่บนร่างของยอดรัก”

เมื่อเย่หวูเฉินได้ยินทั้งร่างแทบระทวย เหงื่อเย็นผุดออกมา เขาเริ่มตระหนักได้ว่าเมื่อเสวี่ยเฟยเยี่ยนผู้นี้แทะโลมด้วยคำพูดมนต์มาร วาจารุกรานจนสตรีธรรมดาต้องกุมหน้าวิ่งหนี เหนือกว่าทั้งทวีปเทียนเฉิน คือทำให้บุรุษมีสีหน้าฝาดแดง

ไม่อาจทนทานแม้กระทั่งเย่หวูเฉิน เมิ่งจื่อจะทนรับได้อย่างไร นางทั้งรู้สึกอับอายทั้งคับแค้น แทบอยากพุ่งเอากระบี่เสียบร่างเสวี่ยเฟยเยี่ยนผู้นี้

“นางมารหน้าไม่อาย!.... นางจิ้งจอก... หน้าไม่อาย!....”

ปกติแล้วนางเซียนแทบไม่เคยสาปส่งผู้ใดถึงเพียงนี้ นางหันร่างกระโดดขึ้นม้าขาวแล้วควบออกไป เสวี่ยเฟยเยี่ยนสองมือเท้าสะเอว ยิ้มหัวเราะดังขึ้นเป็นสองเท่า

“น้องชายน้อย ดูเจ้าสิ นี่คงเป็นครั้งแรกที่เจ้าเห็นใบหน้าของนางใช่หรือไม่? เจ้าจะตอบแทนพี่หญิงคนนี้อย่างไร?” เสวี่ยเฟยเยี่ยนก้าวมาอยู่ด้านข้างเขา เอ่ยกระซิบริมใบหูและเหลือบแลทงซินอย่างรวดเร็ว นางรู้ว่าทงซินคือตัวอันตราย แต่ทงซินก็รู้ว่านางเป็นตัวอันตรายเช่นกัน ความรู้สึกในใจจึงปะทุขึ้นพร้อมกัน หากเสวี่ยเฟยเยี่ยนพลั้งพลาดทำร้ายเย่หวูเฉิน ทงซินจะตวัดกริชเทพพิโรธใส่นางทันที

“อยากได้กระบี่หิมะก็ตามมา” เย่หวูเฉินกล่าวไม่กี่คำแล้วรีบตามไปยังทิศที่เมิ่งจื่อควบม้าหนีไป เขาไม่อาจปล่อยให้เมิ่งจื่อ “หลบหนี” ไปได้ แต่เสวี่ยเฟยเยี่ยนผู้นี้... รูปร่างหน้าตาของนางคือมารเสน่ห์อย่างแท้จริง เขาจำเป็นต้องสืบดูสถานะของนาง เช่นเดียวกับสืบว่านางเป็นมิตรหรือศัตรู

เดินทางมาจากเมืองเทียนหลง.... ระหว่างทางเจอหญิงงามประหลาดเข้าร่วมกลุ่มเดินทางถึงสองคน ในยามนี้ หากพวกเขาใช้ความเร็วปกติในการเดินทาง พวกเขาจะใช้เวลาห้าวันในการไปถึงเมืองเหยียนหลง

.................................................

ป้อมปราการเมืองเทียนหลง

ตามที่ฟงหลิงรัชทายาทต้าฟงปรารถนา เย่เว่ยพาเขาไปเที่ยวชมสถานที่ที่เขาอยากไป พบปะบางตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหลง , ชมค่ายทัพที่ใหญ่ที่สุด , ชมคลังอาวุธ , ชมค่ายฝึกทหาร ฯลฯ พวกเขาไม่พลาดแวะดูสิ่งใด แต่เย่เว่ยสังเกตเห็นว่าฟงหลิงมักดูคล้ายเหม่อลอย ไม่ทราบว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องใด

เย่เว่ยมีข้อสงสัยบางอย่างอยู่ในใจ กิริยาของฟงหลิงไม่ใช่สิ่งที่จะแสร้งทำได้ เขาคือคนที่รบพุ่งสังหารทหารชาวต้าฟงมากมายในสมรภูมิ เขาต้องเห็นพี่น้องร่วมรบต้องตกตายเพราะคมดาบต้าฟงด้วยตาตน ความเกลียดชังต่ออาณาจักรต้าฟงนั้นเหนือล้ำกว่าคนทั่วไปในอาณาจักรเทียนหลง เขาไร้ความประทับใจใดๆต่อรัชทายาทต้าฟงผู้นี้ เขาจึงไม่คิดเอ่ยถามหรือชวนคุย

“เมืองเทียนหลงนับว่าดีเกินคาด กระทั่งดีกว่าที่พระบิดาเคยกล่าวไว้ ไม่แปลกใจที่ทหารของท่านสามารถเอาชนะทัพต้าฟงจนพวกเขาต้องโยนศาสตรา ขุนพลเย่ นี่ก็สายแล้ว ขออภัยที่รบกวนท่านพาข้ามาเที่ยวชมทั้งวัน ข้าได้เห็นทุกสิ่งที่ข้าอยากเห็น ความปรารถนาของข้านับว่าเติมเต็ม ตอนนี้ข้าอยากกลับไปพบฝ่าบาท โปรดนำทาง ขุนพลเย่” หลังกล่าวจบ ฟงหลิงขยับออกด้านข้างให้เย่เว่ยนำทาง

การทักทายก่อนหน้านี้ของฟงหลิงไร้ความหมายใดๆ เขาทำเพียงเพราะเป็นมารยาท ทีแรกเย่เว่ยไม่สนใจ แต่ยามนี้เขากังวล เพราะฟงหลิงจู่ๆก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เขาสุภาพยิ่งกว่าตอนที่พบกันคราแรก แม้ว่าฟงหลิงจะสุภาพอยู่ตลอดเวลา แต่สีหน้าของเขายังดูสูงส่งทรนง แต่ตอนนี้ เขาลดท่าทีลงและกลับแสดงความนอบน้อมต่อเย่เว่ย ราวกับรุ่นเยาว์ที่แสดงความเคารพต่ออาวุโสของตน



<<<PREV    .    NEXT>>>