วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 141

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 141 การตอบโต้ของเย่หวูเฉิน

ในตอนเช้าเวลาตีห้า ท้องฟ้ายังมืดอยู่ ทุกแห่งปกคลุมด้วยหมอกหนา อากาศเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การเดินทางไกลอย่างยิ่ง แต่มันไม่มีผลใดๆกับเย่หวูเฉิน

ม้าแดงชั้นดีที่สุดของตระกูลเย่ ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ายี่สิบ สาวน้อยสองคนร่วมเคียงข้างกัน ทุกสิ่งที่จำเป็นบรรจุเก็บไว้ในแหวนเทพกระบี่

“เจ้าจำเป็นต้องพาพวกนางไปด้วยจริงๆหรือ? ข้างนอกนั่นอันตรายมาก... แม่ดูแลพวกนางแทนเจ้าได้” แม้นางรู้ว่าจะถูกปฏิเสธ หวังเวิ่นชูก็ยังเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง เหตุผลสำคัญคือนางกลัวว่าสาวน้อยสองคนจะกลายเป็นภาระสำหรับเขา

“อืม พวกนางเคยชินอยู่กับข้า และข้าไม่อยากจากพวกนางเช่นกัน อย่าห่วงเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกนางหรือตัวข้าต้องเป็นอะไร” เย่หวูเฉินอธิบายอีกครั้ง จากนั้นดันประตูหลักของตระกูลเย่เปิดออก

ท่ามกลางหมอกหนา มีร่างบอบบางสั่นเทาอยู่ เย่หวูเฉินคราแรกแปลกใจ จากนั้นตระหนก เขาปล่อยเชือกจูงม้าแล้วรีบวิ่งไปกอดร่างนั้นด้วยแขนตน เขากล่าวอย่างเสียใจ “เสี่ยวโหรวโหรว เจ้ามารอนานแค่ไหนแล้ว?”

ฮั่วฉุ่ยโหรวทั่วร่างเปียกด้วยน้ำค้าง เย่หวูเฉินใช้มือสัมผัสรู้สึกถึงความเย็นเยียบทั้งร่างกาย เขาไม่รู้ว่านางมารออยู่นานเท่าไร เขารู้สึกเสียใจ ไม่สนสิ่งใดแล้วรวมพลังธาตุไฟสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายนาง

หวังเวิ่นชูรีบเข้ามาจับมือเย็นเยียบไว้ น้ำเสียงคล้ายว่ากล่าว “เด็กโง่ ทำไมเจ้าถึงไม่เข้ามาข้างใน?”

“ขะ...ข้าไม่หนาว” ร่างของนางสั่น ริมฝีปากซีดเล็กน้อย นางกลัวว่าจะไม่ได้เจอเย่หวูเฉินหากเขาออกไปแต่เช้ามืด ดังนั้นนางจึงแอบหลบบิดาออกมา ฮั่วฉุ่ยโหรวมารอตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดมิด ด้วยกลัวว่าจะรบกวนเย่หวูเฉินและตระกูลเย่ที่หลับนอน นางจึงไม่กล้าเรียกใคร เมื่อนางมาถึงจึงนั่งเงียบๆรอให้เขาออกมาอย่างกังวล

“ดูสภาพเจ้าสิ ยังจะบอกว่าไม่หนาวอีก เสี่ยวโหรวโหรวของข้าเริ่มหัดโกหกสามีของนางตั้งแต่เมื่อไหร่?” เย่หวูเฉินโอบกอดนางไว้ในอก ภายใต้พลังของเขา ร่างของฮั่วฉุ่ยโหรวเริ่มอบอุ่นขึ้น นางพิงร่างบนอกเขาแล้วกล่าวอย่างงมงาย “ท่านกอดข้าไว้แล้ว ข้าจะรู้สึกหนาวได้อย่างไร?”

เย่หวูเฉินยิ้มบางแล้วกอดนางแน่นขึ้น “ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ขอให้อดทนรอข้า ในวันที่ข้ากลับมาถึง เรามาแต่งงานกัน... ต่อให้จักรพรรดิไม่อนุญาต ข้าจะทำให้เขายอมรับเอง”

หลังจากเงียบเพียงชั่วขณะ นางตอบอย่างมีความสุข “อื้ม...”

ผ่านไปครู่ใหญ่ นางค่อยๆผละออกจากเย่หวูเฉิน จากนั้นเอาห่อผ้าเล็กๆวางในมือของเย่หวูเฉิน “สามี นี่คือชุดที่ข้าทำให้ท่านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และมีรองเท้าอีกคู่หนึ่ง พ่อข้ากล่าวว่าอีกหลายสิบลี้ทางใต้จะไม่มีบ้านเรือนผู้คน ดังนั้นข้าเลยเตรียมอาหารไว้พอทานตอนเที่ยงด้วย”

นางใช้มือสองข้างถอดสร้อยออกจากคอของตน เป็นจี้หยกรูปแหวนหลากสี นางยืนเขย่งยืนปลายเท้าแล้วสวมให้เย่หวูเฉิน ขณะเดียวกันนางมองตาเขาอย่างรักใคร่และกล่าว “นี่คือสร้อยคอของแม่ข้า ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลของนาง เมื่อข้าเกิดมา ท่านแม่สวมมันให้ข้าเพื่อปกป้องข้าตลอดชีวิต ตอนนี้ข้าสวมมันให้สามี มันจะได้ปกป้องท่านตลอดการเดินทาง จนกว่าท่านจะปลอดภัยกลับมา”

เย่หวูเฉินรู้สึกหัวใจแทบละลายจากความอบอุ่นของนาง มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในศีรษะ หากไม่ใช่เพราะเหตุบางประการที่ทำให้เขามายังโลกใบนี้ คงกลายเป็นไอ้บัดซบสักตัวที่ได้ชื่นชมความอบอุ่นนี้

เขาจับมือน้อยๆของนางไว้แน่น “รอข้า...”

เวลานี้ เขาสามารถกล่าวได้เพียงสองคำสั้นๆกับนาง

“ท่านไปเถอะ ยิ่งไปเร็วเท่าไหร่ ยิ่งได้กลับมาเร็วเท่านั้น” ฮั่วฉุ่ยโหรวจัดผมตรงหน้าผากให้เขารวมทั้งเสื้อผ้าตรงที่นางพิง นางฝืนใจถอยออกจากเขา นางรู้ว่าเขาต้องมีเหตุผลส่วนตัวที่ออกไปตั้งแต่เช้ามืด นางสามารถรักเขา , โหยหาเขา , คิดถึงเขา , ไม่อยากให้เขาจากไป แต่นางไม่อาจเป็นภาระให้เขาหรือทำให้เขาเสียเวลา

“ไปเถอะ ระหว่างทางระวังตัวด้วย หากไม่อาจบรรลุเป้าหมาย เจ้าก็กลับบ้านมาก่อน ความปลอดภัยของเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด” เย่เว่ยที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นมา ตอนนี้เป็นเวลาประชุมในสำนักราชวัง แต่เขาและเย่หนู่ไม่ไป แม้ว่าเย่หวูเฉินนั้นมั่นใจ แต่พวกเขายังคงกังลและป่วยใจ เพราะว่า... หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเขา บางทีนี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายระหว่างพวกเขา

“ไปเถอะ ยิ่งไปแต่เช้ายิ่งดี จะได้ไม่มีผู้ใดทันรู้ตัว” เย่หนู่ยกมือขึ้นแล้วถอนหายใจ ชายชราคนนี้ไม่อาจหลับสนิทตลอดคืน เขาอยากลุกออกจากเตียงหลายครั้งเพื่อโน้มน้าวให้เย่หวูเฉินเปลี่ยนใจ ความกังวลหลักของเขาไม่ใช่รับมือกับจักรพรรดิ แต่เป็นการรับมือกับเย่หวูเฉิน

“เฉินเอ๋อร์ อย่าฝืนตัวเองเกินไป อย่าได้ผอมลง เงินพวกนั้นจงใช้จ่ายตามสะดวก...” หวังเวิ่นชูดึงมือของฮั่วฉุ่ยโหรว เพราะนางอึกอักไม่อยากจากเขา

เย่หวูเฉินพยักหน้า สายตามองพวกเขาทีละคน เขาอุ้มหนิงเสวี่ยกับทงซินและโดดขึ้นบนหลังม้า เขาควบม้าออกไปโดยไม่หันกลับมามอง เสียงม้าควบดังชัดในความเงียบ แต่มันค่อยๆจางหายไปกับหมอกหนา

เมื่อถึงหัวมุม เย่หวูเฉินจึงหันกลับมา ด้วยถูกบดบังด้วยหมอกพวกเขาจึงไม่อาจเห็นเย่หวูเฉิน แต่เย่หวูเฉินสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน ฮั่วฉุ่ยโหรวยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตานางมองมายังทิศที่เขาอยู่ด้วยไม่อยากจากไป นอกจากพวกเขาแล้ว เย่หวูเฉินยังเห็นอีกร่างหนึ่ง... ตลอดคืนนางออกมาอยู่ข้างนอกใต้แสงจันทร์ รอจนกระทั่งเขาออกไป ผู้ที่มองเขาจากเบื้องหลังอย่างเศร้าใจคือเย่ฉุ่ยเหยา

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ที่ประตูหลักตระกูลเย่มีเสียงเสียใจลึกล้ำตะโกนดังมาจากหลงฮวงเอ๋อร์ “ท่านมันตัวชั่วร้าย... ตัวชั่วร้าย! เพื่อมาส่งท่าน องค์หญิงอย่างข้าอุตส่าห์ตื่นเช้าถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก แต่ท่านกลับออกไปแล้ว... ฮือ ท่านใจร้ายนัก! ข้าเกลียดท่าน!!”

.................................................

เวลา: หลังจากเย่หวูเฉินออกจากตระกูลเย่ได้สิบนาที
สถานที่: ห้องหนังสือ พระราชวังเทียนหลง

เงาสีดำราวกับภูติผีปรากฎขึ้นด้านหลังของหลงหยิน มันก้มคารวะแล้วกล่าว “ฝ่าบาท เขาออกไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เด็กหญิงสองคนที่มักนอนกับเขา ร่วมเดินทางไปกับเขาด้วย”

“โอ้?” หลงหยินหันมา “เป็นอย่างนั้นรึ?” จากนั้นเขาพลันหัวเราะเสียงดัง “สมกับเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ พาของรักส่วนตัวไปด้วยไม่ว่าจะที่ใด แม้จะน่าประหลาดใจยิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยกับการเดินทางครั้งนี้”

“ข้าจำเป็นต้องลอบคุ้มกันเขาหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น ดูเหมือนเขาจะมั่นใจในตัวเอง ข้าจำเป็นต้องให้ท่านปกป้องข้าตลอดเวลา” หลงหยินโบกมือ

ในขณะนี้เอง ขันทีส่วนพระองค์ของหลงหยินก้าวเข้ามาแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท องค์ชายสามต้องการพบท่าน”

“โอ้? ฉีเอ๋อร์?” หลงหยินขมวดคิ้วแล้วกล่าว “เขาต้องมีเรื่องสำคัญบางเรื่องถึงได้มาในตอนนี้ ให้เขาเข้ามา อาวุโสหลี่ ท่านออกไปก่อน”

ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน หนึ่งก้าวออกไป อีกหนึ่งซ่อนตัวอยู่ เพียงไม่นานก็มีฝีเท้ารีบเร่งเข้ามาและหยุดลง หลงเจิ้งฉีเข้ามาถึงและคุกเข่า “ถวายบังคมเสด็จพ่อ ไม่ทราบว่าท่านเรียกข้ามาแต่เช้ามืดมีเรื่องอันใด?”

“ลุกขึ้นเถอะ...หืม? เดี๋ยวนะ ข้าเรียกเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หลงหยินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน ในใจของเขาพลันรู้สึกถึงเงาทะมึนเลือนรางอย่างไม่ทราบที่มา

หลงเจิ้งฉีลุกขึ้นอย่างงุนงงแล้วกล่าว “วันนี้เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าพบกระดาษอยู่ข้างเตียงเขียนบอกให้ข้ารีบมาพบท่าน ข้าคิดว่าเสด็จพ่อไม่อยากรบกวนขณะที่ข้าหลับจึงทิ้งกระดาษไว้ หลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาจึงรีบมาทันที... นั่นไม่ใช่คำสั่งท่านหรอกหรือ เสด็จพ่อ?”

หลงหยินสีหน้าเริ่มตึงเครียด เขาลดเสียงลงแล้วกล่าว “ข้าแน่ใจว่าไม่ได้สั่งให้ใครเรียกเจ้ามา”

“แล้ว...”

หลงเจิ้งฉีพึ่งเอ่ยได้หนึ่งคำ เสียงของเขาก็ขาดหายไป ทันใดนั้นดวงตาของเขาเบิกกว้าง ราวจะถลนออกจากเบ้า

เขากำลังมองเห็นดวงตาคู่ดำทมิฬ

หลงหยินพบว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา เขารีบเข้าไปประคองไหล่ของหลงเจิ้งฉี “ฉีเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น?”

โพล๊ะ!!

หลงหยินจะไม่มีวันลืมเสียงสยดสยองนี้ไปตลอดชีวิต เสียงร่างของบุตรชายที่เขาโปรดปรานที่สุดระเบิดออก หมอกโลหิตฟุ้งกระจายบดบังสายตา... ราวถูกสาปโดยเทพมรณะ ฉากสยองขวัญประทับฝังในจิตใจและจะนำมาซึ่งฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน

ในเวลานั้น ราวกับเลือดค่อยๆกระเซ็นอาบร่างของหลงหยิน เศษชิ้นเนื้อและโลหิตปลิวกระจายไปทั่วห้องหนังสือ หลงหยินเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว ตัวสั่นและทรุดลงกับพื้น ชั่วขณะราวกับผ่านขุมนรก ตอนนี้ในครรลองจักษุปรากฎเพียงสีของโลหิตเท่านั้น

ร่างของสามอาวุโสปรากฎขึ้นพร้อมกัน ขันทีที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามา ฉากเบื้องหน้าทำให้พวกเขาแทบแข็งค้างกลายเป็นหิน ต่างเชื่อว่าพวกตนกำลังอยู่ในความฝัน

สามผู้ปกปักษ์มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ชายชราทั้งสามที่ปกติไร้อารมณ์ ตอนนี้กำลังตกใจอย่างหนัก เวลานี้เอง มีเศษกระดาษสีขาวไม่ทราบว่าปลิวลงมาจากที่ใด ค่อยๆตกลงมาที่มือของหลงหยิน หลงหยินใช้สองมือจับกระดาษขึ้นมาดู จากนั้นม่านตาหดลีบอย่างรุนแรง

บนกระดาษนั้นเขียนไว้ว่า “ผู้ปกครองแห่งอาณาจักร ผู้ทำร้ายบุตรแห่งผู้ภักดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์”

หลงหยินขยำกระดาษในมือแล้วค่อยๆลุกขึ้น แม้ว่าอยู่ท่ามกลางกองโลหิตและทั้งร่างของเขายังชุ่มโชกไปด้วยเลือด อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเป็นจักรพรรดิ ต่อให้เขาถูกกระทบกระเทือนจิตใจจากภาพไม่ชวนมอง เขาก็ต้องไม่ล้มลง เขาขบฟันแน่น เวลานี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือความเยือกเย็น... ความเยือกเย็นที่สุด

ขันทีและราชองครักษ์ที่รีบเข้ามาต่างตกตะลึงด้วยความกลัว ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ หลงหยินกล่าวเสียงเย็นเยียบ “มีมือสังหารลอบเข้ามาในวัง แต่มันถูกสังหารไปแล้ว พวกเจ้ามัวรีรออะไร? รีบเก็บกวาดเร็วเข้า!”

ราวกับตื่นจากความฝัน พวกจีนมุงเริ่มกุลีกุจอทำความสะอาดอย่างหวาดกลัว ถ้าใครยังมีตา ย่อมรู้ว่าองค์ชายสามเพิ่งเข้ามา จากหยดเลือดและเศษชุดที่อยู่บนพื้น ซากเนื้อนี้ย่อมเป็นองค์ชายสาม สำหรับจักรพรรดิที่รับสั่งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดทราบเรื่องราว ผลลัพธ์หนึ่งเดียวสำหรับพวกเขาคือถูกสังหารเพื่อป้องกันความลับแพร่งพราย

ด้วยความกลัวตาย พวกเขาจึงไม่รู้สึกขยะแขยง กระทั่งไม่มีอารมณ์ที่จะมองสามผู้ปกปักษ์ผู้ลึกลับ



<<<PREV    .    NEXT>>>