วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 173

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 173 หยกจิตกำหนัด (2)

“น้องชายน้อย เจ้าไม่อยากมาตรงนี้จริงๆเหรอ? พี่หญิงไม่ได้โกหกเจ้านะ หากเจ้าไม่มาจริงๆ นางเซียนน้อยของเจ้าจะต้องตาย”

เย่หวูเฉินจิตใจปั่นป่วน เพียงชั่วขณะสมองก็กลับมาปลอดโปร่ง เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย เขากังวลอยู่ก่อนว่าอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกนาง ยิ่งเสวี่ยเฟยเยี่ยนพูดเช่นนี้ เขาไม่กล้าที่จะไม่เชื่อ ยิ่งกว่านั้น ต่อให้เขาคิดไม่อยากไป แต่น้ำเสียงนางน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าพลังเวทย์มนตร์ ทำให้หัวใจเขาบีบรัดและเร่งสืบเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังทิศทาง

เมื่อสัมผัสได้ว่าเขาเข้ามาใกล้ ในที่สุดเสวี่ยเฟยเยี่ยนก็หยุดตะโกน ร่างของนางลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาแพรไหมมองร่างที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ชุดหิมะที่ขาดตรงทรวงอกยังคงเปิดอยู่ เผยให้เห็นพระจันทร์ขาวหิมะสองดวงที่ยั่วยวนใจ

นางมองที่ยอดอกของตน ไม่สนใจดึงชุดมาปกปิดร่าง มุมปากยกเป็นรอยยิ้มกล่าวด้วยเสียงเบา “ยอดรัก เจ้าแตะต้องร่างกายของข้าไปแล้ว ตอนนี้ข้าจะแกล้งเจ้าต่อ พี่หญิงจะมอบของขวัญที่เจ้าไม่อาจปฏิเสธ จะเป็นการดีหากเจ้าชอบมัน ไม่อย่างนั้นพี่หญิงคงผิดหวัง”

เมื่อเย่หวูเฉินเข้ามาถึง เขาได้ยินเสียงครวญครางทั้งเจ็บปวดและรัญจวนใจ คล้ายเสียงหอบหายใจที่ถูกระงับยั้งไว้ เย่หวูเฉินหยุดเท้าลงด้วยร่างกายแข็งทื่อ เพราะเสียงครางกระชากจิตนั้นคือเสียงของเมิ่งจื่อ

หรือว่านางกำลัง....

เขาก้าวเข้าไปอีกเล็กน้อยจนเห็นสระใสปรากฎต่อสายตาอีกครั้ง ริมขอบสระ มีสตรีเปลือยเปล่าสัมผัสร่างกายของตัวเอง เรือนร่างอันน่าหลงใหล เพรียวบางงดงาม ราวกับกิ่งหลิวที่ถูกสายลม แก้มทั้งสองแดงเรื่อ ม่านตานางสั่นไหว ขณะครางริมฝีปากนางอ้าเผยอเล็กน้อย เผยสองแถวฟันงาม ผิวเปล่งปลั่งขาวราวกับหยก บนอกของนาง โนมเนื้อตั้งชันราวหยกชาด แม้ว่านางทอดร่างนอนอยู่ พวกมันยังคงตระหง่านเหมือนถ้วยคว่ำ สองเม็ดชมพูชูชี้กลางสายลมราตรี ละเมียดงามไร้ที่เทียบเทียม

เย่หวูเฉินเบือนหน้าออก ขณะที่หันศีรษะไปก็เห็นเสวี่ยเฟยเยี่ยนลอยอยู่กลางอากาศ นางหัวเราะน่าหลงใหล เย่หวูเฉินถามเสียงต่ำ “ท่านทำอะไรกับนาง?”

คุ้นเคยกับเมิ่งจื่อผู้เย็นชา , ยโส และบริสุทธิ์ เวลานี้นางกลับครางเสียงรัญจวนจนกระตุ้นเย่หวูเฉินให้ตัวสั่น เสวี่ยเฟยเยี่ยนบุ้ยริมฝีปากแดงคล้ายเสียใจ  ราวเด็กหญิงน้อยที่อารมณ์ฉุนเฉียว นางกล่าว “น้องหญิงไม่รู้หัวนอนปลายผู้นี้เดินทางกับเจ้ามาตลอดหลายวัน เห็นได้ชัดว่านางมีเจตนาคิดไม่ซื่อ ข้าไม่ชอบนาง ดังนั้นจึงลงโทษเพียงสถานเบา ข้าเพียงใช้ ‘หยกจิตกำหนัด’ กับนาง”

“หยกจิตกำหนัด?” เห็นได้ชัดว่าเย่หวูเฉินไม่เคยได้ยินชื่อประหลาดนี้มาก่อน เขาแลดูเมิ่งจื่อที่ร่างบิดพล่าน มือไม้ลูบไล้ไปตามร่างกาย เพียงชั่วพริบตาเขาก็ถอนสายตากลับน้ำเสียงยิ่งเย็นชา “ท่านบอกว่าชีวิตของนางอยู่ในอันตราย... ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

ใบหน้าของเสวี่ยเฟยเยี่ยนดูสลดลง ราวกับนางต้องการร้องไห้ “ข้าแค่อยากช่วยเจ้า เหตุใดเจ้าต้องพูดกับข้าแบบนี้เพียงเพราะนางด้วย? หรือเป็นเพราะข้าไม่อาจเทียบกับนางเซียนน้อยของเจ้าอย่างนั้นหรือ? ที่จริงแล้ว... ข้าโกหก ‘หยกจิตกำหนัด’ นี้แท้จริงไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นยาโป๊”

เย่หวูเฉินเห็นได้ชัดว่าเมิ่งจื่อเจ็บปวดจากผลของยา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเสวี่ยเฟยเยี่ยนและรีบเข้าไปหานาง ร่างน่าหลงใหลของเมิ่งจื่อเผยหน้าสายตา หลุมสะดือน้อยๆดูสวยงาม เอวบางโอบได้ด้วยแขนเดียว ทั้งร่างบิดพล่านเป็นงูเลื้อย คู่ขาเรียวยาวขาวละเอียดราวหน่อไม้ตั้งกอ อกคู่กลมงามล้วนไร้ที่ติ เย่หวูเฉินไร้ทางเลือกนอกจากหลับตา เขาวางฝ่ามือบนอกของนาง กลิ่นลมหายใจหอมหวนฟุ้งกระทบจมูก ทำให้จิตใจเขาปั่นป่วน

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ น้องชายน้อย ข้ารู้ว่าทักษะแพทย์ของเจ้าสูงส่ง ข้ากลัวว่าเจ้าจะสามารถขจัด ‘พิษกำหนัดอันดับหนึ่ง’ นี้ได้ ดังนั้นข้าจึงรอเวลากว่า 10 นาทีก่อนที่จะเรียกเจ้า ตอนนี้ ‘หยกจิตกำหนัด’ ได้เปลี่ยนรูปสมบูรณ์ เจ้ายังสามารถขจัดความกระสันนี้ได้หรือ? โอ้ใช่แล้ว น้องชายน้อย พี่หญิงลืมบอกเจ้า หากใครถูก ‘หยกจิตกำหนัด’ นี้เข้าไป จะไม่สามารถกำจัดความกระสันได้ในเวลา 6 ชั่วโมง หากเป็นสตรีนางจะสมสู่กับทุกบุรุษพบเจอ ส่วนบุรุษย่อมไม่เต็มปรารถนาหากขาดสตรี ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่... ในปีนั้นกระทั่งเทพสงครามฟงเฉาหยางผู้โด่งดัง เมื่อเขาถูก ‘หยกจิตกำหนัด’ นี้เข้าไปยังไม่อาจหลุดพ้นฤทธิ์ของมันได้... น้องชายน้อย เจ้าและน้องหญิงควรหฤหรรษ์ร่วมกัน หรือไม่เจ้าก็หาบุรุษให้นาง ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่...”

เสียงหัวเราะบ้าบิ่นลอยไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างของเสวี่ยเฟยเยี่ยนหายลับสายตาไป ท่ามกลางราตรีเงียบงัน เสียงครางคล้ายสะอื้นของเมิ่งจื่อดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ

เมิ่งจื่อยังคงมีสติอยู่ แต่เมื่อถูกกระตุ้นความกำหนัดเป็นเวลานาน ความมีเหตุผลของนางได้พังทลายลง ใบหน้านางแดง ใบหูร้อนผ่าว ดวงตาไร้ศูนย์รวมมอง นางไม่อาจระบุตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหน้า ร่างของนางกอดรัดเข้าหาโดยสัญชาติญาณ ชม้ายชายตาพร้อมน้ำเสียงอ่อนหวาน

เย่หวูเฉินเคลื่อนฝ่ามือออกจากทรวงอกนาง เสวี่ยเฟยเยี่ยนไม่ได้โกหกเขา พิษในร่างของนางได้หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงเพลิงกระสันค้างไว้ นอกจากการสนธิกับนาง เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นใด ร่างของเมิ่งจื่อรัดพัวพันเขาไว้แน่น กอดรัดถูไถปากอ้าหอบหายใจแรง ลมหายใจนั้นทั้งหอมอุ่นและเปียกชื้น

เย่หวูเฉินลืมตาขึ้น ค่อยๆแกะมือของนางออก ผิวนางนุ่มเหมือนสัมผัสผ้าไหมชั้นยอดของโลก เขาใช้มือข้างหนึ่งกดที่ปากของนางเบาๆ หยุดเสียงครางรัญจวนชั่วคราว ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งจับหน้าอกนาง จากนั้นค่อยๆนวดพวกมัน สายตามองร่างงามบริบูรณ์อย่างชื่นชม “นางเซียนเมิ่ง ท่านจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

เมิ่งจื่อถูกแผดเผาด้วยเพลิงปรารถนา ถูกทรมานด้วยความกระสันจนนางแทบพังพาบลง ทันใดนั้นเมื่อถูกสัมผัสหน้าอกโดยใครบางคน ความรู้สึกสมฤดีวาบผ่านทั่วสรรพางค์กาย หลังจากเปล่าเปลี่ยวเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็ถูกเติมเต็มด้วยความตื่นเต้น นางบิดร่างยิ่งกว่าเดิม ดวงตาปิดแน่น ในสติที่ยุ่งเหยิง นางเรียกออกมาด้วยความกระสับกระส่าย “ให้ข้า... ให้ข้าที...”

“บอกมา ว่าข้าคือใคร?”

เขาบีบมือแรงขึ้น ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพิ่มความหรรษาจนทำให้นางต้องกดศีรษะลง ทั้งร่างบิดไปมาทรวงอกแอ่นอ้านต้านทาน ปรารถนาให้เขาคลึงเคล้นยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดปลุกสติของนางขึ้นมาเล็กน้อย นางมองดูใบหน้าของเย่หวูเฉิน ดวงตาพร่าไหวทั้งดีใจและตรอมตรม นางยื่นแขนคว้าร่างของเขาไว้ “หวูเฉิน... ให้ข้าที... เฉิน... ให้ข้าที...”

เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มพึงใจออกมาในที่สุด เขาก้มศีรษะลงมือไม้เริ่มลูบรุกรานทุกซอกมุมทั่วร่างของนาง “แม้ว่าข้าถูกบังคับด้วยสถานการณ์ แต่ข้าหวังว่าท่านจะจำวันนี้ไว้ได้ คืนนี้ ข้าจะเป็นบุรุษคนแรกของท่าน และท่านจะเป็นสตรีคนแรกของข้า ท่านห้ามลืมเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”

หยดน้ำตาราวน้ำพุใสค่อยๆไหลออกมา เอวบางของนางไหวขยับ กอดรัดร่างของเขาแน่นขึ้น ปากที่ส่งเสียงครางรัญจวนยิ่งน่าหลงใหลมากกว่าเดิม เมื่อเย่หวูเฉินสัมผัสถูกจุดต้องห้ามโดยไม่ตั้งใจ นางคล้ายถูกไฟดูด ทั่วทั้งร่างของนางสั่นสะท้านรุนแรง เอวบางบิดไปมาราวกับงู ตอบรับกับการลูบคลึง เรียวขาเรียบลื่นขยับเปิดปิด เบียดฝ่ามือที่สอดไซ้ระหว่างมัน ถูกทรมานด้วยความกระสันยากยิ่งจะทานทน นางอ้าปากหอบหายใจ จากนั้นยื่นลิ้นจากริมฝีปากเชอร์รี่เลียลามอย่างหิวกระหาย ผิวของนางกลายเป็นสีแดง เม็ดเหงื่อผุดท่วมร่าง เปล่งปลั่งราวกับหยกใส

เย่หวูเฉินรู้ว่านางได้ยินเสียงของเขาชัดเจน เขาเอนร่างลง ประกบริมฝีปากเชอร์รี่ จูบดูดดื่มอ่อนโยน เมิ่งจื่อยิ่งเร่าร้อนขึ้น นางสอดลิ้นเข้ามาพัวพัน เย่หวูเฉินสัมผัสความนุ่มละมุน พร้อมกลิ่นหอมในจมูก มือซ้ายที่กุมอกยิ่งบีบแรง ยิ่งเร่งเร้าบนอกชูชัน

ถูกเย่หวูเฉินบีบคลึงภายใต้ฤทธิ์ของ ‘หยกจิตกำหนัด’ ระลอกความพึงใจจู่โจมจิตใจของเมิ่งจื่อ ร่างกายเสียวซ่านราวถูกไต่ด้วยพันแมลง รู้สึกหลงใหลจนยากจะทานทน ทำให้นางหายใจลำบาก ปากนางยิ่งหอบหนัก เสียงครางยินดียิ่งเร้าอารมณ์

ตอนนี้เมิ่งจื่อหมดภาพความสงวนตัว ปากนางอ้ากว้าง ความกระสันในใจลุกโชนยิ่งยากจะอดทน ขาเรียวยาวไขว้รอบเอวและสะโพกเขาไว้ เอวบางของนางเบียดถูไปมาโดยไม่รู้ตัว

เย่หวูเฉินรู้ว่านางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงยืนขึ้นแล้วถอดเสื้อออก บรรยากาศโดยรอบยังสงบเงียบเหมือนเช่นเดิม ไร้เสียงใดให้ได้ยิน เสวี่ยเฟยเยี่ยนไม่ทราบว่าหายไปไหน เย่หวูเฉินมือหนึ่งจับสะโพกของเมิ่งจื่อ อีกมือหนึ่งจับเอวไว้ เขาค่อยๆดันกายไปเบื้องหน้า หลังจากหยุดเล็กน้อย เขาทลายด่านชั้นพังเข้าไป แทบได้ยินเสียงในขณะเดียวกัน

เมิ่งจื่อครางเจ็บปวด ทันใดนั้นร่างของนางหดเกร็ง แขนขาพันรอบร่างของเขา สีหน้าทั้งเจ็บปวดทั้งพึงพอใจ หยดน้ำที่มุมหางตาไหลลงเป็นทาง หยดลงบนร่างของเย่หวูเฉิน

เย่หวูเฉินจูบอ่อนโยนบนริมฝีปากที่กำลังหอบหายใจ ฝ่ามือเริ่มนวดคลึงบนหน้าอกอันเย้ายวน ปลอบโยนความเจ็บปวดที่ชำแรกนาง โลหิตค่อยๆหยดลงเบื้องล่าง แต่งเติมบรรยากาศอันยั่วรัญจวน

หลังชั่วเวลาสั้นๆ เมิ่งจื่อสูญเสียพลังต้านทานโดยสมบูรณ์ นางหลับตาแน่นใบหน้าแดงผ่าว มือทั้งสองกอดไหล่และคอเย่หวูเฉินไว้แน่น ลิ้นอุ่นนุ่มนวลสอดสัมผัสกัน ปากนางยังครางอยู่ เอวบางขยับขึ้นลง เขารับประสานตามจังหวะ เสียงหอบหายใจและเสียงครางยิ่งดังขึ้น ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เสียงกระจายไกลในระยะทาง...

ดวงจันทร์แขวนกลางฟ้า เสวี่ยเฟยเยี่ยนผู้จากไปกำลังหยุดมองพวกเขาอย่างเงียบงัน ขาเรียวยาวของเมิ่งจื่อพันเอวของเย่หวูเฉินไว้เป็นปลาหมึก รึงรัดพัวพันรอบร่างของเขา ร่างกายนางสั่นอย่างต่อเนื่อง ปากก็ส่งเสียงครางด้วยตัณหา ราวกับนางกลายเป็นบ้าคลั่งลืมสิ้นความบริสุทธิ์และเย็นชา เย่หวูเฉินดูคล้ายมีฝีมือ ไร้น้ำใจและรุนแรง เบียดเสียดร่างสตรีบอบบางไว้ใต้ร่างของกายตน เสวี่ยเฟยเยี่ยนหรี่ตาลงและกล่าวกับตัวเอง “ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ยอดรักช่างแข็งแรงดีจริงๆ ข้าคิดว่าพอเขาหมดแรง เขาคงเปลี่ยนไปใช้กระบวนท่าอื่น...”



<<<PREV    .    NEXT>>>