วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 156

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 156 งานประชันการรักษา พบกันโดยบังเอิญ

เมืองเทียนหยุน อาณาจักรเทียนหลง

คลื่นฝูงชนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เมืองเทียนหยุนตอนนี้นับได้ว่าคึกคักและมีชีวิตชีวา ยิ่งเข้าไปยังใจกลางเมือง ฝูงชนยิ่งหนาตา เย่หวูเฉินรู้สึกราวกับว่าตนเองได้กลับมาเมืองเทียนหลง

“อีกไม่ถึงสัปดาห์พวกเราจะไปถึงเมืองเหยียนหลง นางเซียนเมิ่ง ไม่ว่าท่านจะมาจากไหนหรือจะไปที่ใดข้าไม่สนใจ แต่ถึงท่านจะเป็นนางเซียนจริงๆ ท่านก็ต้องจ่ายหนี้ จนถึงวันนี้ท่านอยู่กับพวกเราครบ 11 วัน ท่านอาศัยบริโภคอาหารและน้ำดื่มของข้าทุกอย่าง ทุกมื้อล้วนเป็นอาหารชั้นเลิศของตระกูลเย่ ท่านยังอาศัยนอนเตียงที่นุ่มที่สุด เห็นแก่ที่พวกเราสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว ข้าจะคิดราคาเพียง 20 ตำลึงเงินต่อวัน 11 วันก็เท่ากับ 220 ตำลึงเงิน สำหรับการช่วยชีวิตท่านสองครั้ง ข้าคิดท่านครั้งละ 300,000 ตำลึง... ท่านจ้องข้าทำไม? หรือไม่ถูกใจที่ชีวิตท่านมีค่าเท่านี้? นั่นสินะ ท่านคือนางเซียน ถ้าอย่างนั้นคิดครั้งละ 10 ล้านตำลึง ดังนั้นสองครั้งก็เป็น 20 ล้านตำลึง รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดก็เป็น 20,000,220 ตำลึง อืม เศษปลายช่างมันเถอะ ข้าใจดีลดให้ท่านเหลือแค่ 20 ล้านถ้วนก็แล้วกัน สำหรับยารักษา ผ้าพันแผล และม้าข้าจะลืมมันก็แล้วกัน... พอพวกเราไปถึงเมืองเหยียนหลง ท่านต้องจ่ายเต็มราคาไม่อย่างนั้นก็ห้ามไปไหน”

ขณะที่เย่หวูเฉินคิดราคาหน้าเลือด เมิ่งจื่อกัดฟันไม่กล่าวตอบ ปล่อยให้เขาพล่ามไป หลายวันมานี้นางถูกเขาแกล้งไม่หยุดหย่อนสารพัดวิธี ทุกครั้งในใจนางจะสับสน แต่หลังจากได้บทเรียนหลายครานางจึงเริ่มฉลาดขึ้น ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางจะต้องเงียบไว้ เพราะหากเถียงกับเขาเท่ากับราดน้ำมันลงกองเพลิง

“ท่านพี่ ที่นี่มีคนเยอะจัง เสียงดังมากด้วย” หนิงเสวี่ยที่งีบหลับเงยศีรษะขึ้นมา จากนั้นขยี้ตาที่ยังไม่เปิดดี

“อืม พวกเขามารวมกันคงมีงานอะไรบางอย่าง คล้ายกับงานประลองในเมืองเทียนหลง พวกเขาสวมเสื้อผ้าหลากชนิดและถามถึงเส้นทาง ดังนั้นพวกเขาต้องเดินทางมาจากแดนไกล” เย่หวูเฉินกล่าว

“วันนี้มีงานประชันการรักษาของเมืองเทียนหยุน” เมิ่งจื่อเดินจูงม้า นางไม่ค่อยเอ่ยวาจาก่อนเท่าใดนัก นี่อาจนับได้ว่าเป็นการคืนน้ำใจให้เย่หวูเฉิน บาดแผลที่เท้านางเกือบหายสนิท ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขี่ม้าอีก ยิ่งรวมกับที่เย่หวูเฉินหลอกนางว่า “สตรีไม่ควรขี่ม้า” นางไม่กล้าขี่ม้าอีกเลย ม้าล้ำค่าตัวนี้ไม่อาจถูกทิ้ง ดังนั้นนางเซียนจึงต้องรับหน้าที่จูงม้า

สิบกว่าวันผ่านไป ยังไม่มีโอกาสลงมือ ยิ่งกว่านั้น... นางลอบมองทงซินที่กำลังเคี้ยวขนมหวาน หลังจากที่ได้เห็นพลังของทงซิน นางรู้ว่าโอกาสสำเร็จของนางเหลือเป็นศูนย์ แต่นางไม่สามารถยอมแพ้ได้ ดังนั้นจึงต้องกัดฟันเดินทางไปเมืองเหยียนหลงร่วมกับพวกเขา เนื่องจากเย่หวูเฉินไม่อนุญาตให้ ‘ผู้ค้างชำระหนี้ก้อนโต’ ออกห่าง ทางเลือกเดียวของนางคือร่วมทางจนถึงเมืองเหยียนหลง จากนั้นค่อยเผ่น

“งานประชันการรักษา? แข่งทักษะการแพทย์อย่างนั้นเหรอ?” เย่หวูเฉินสีหน้าไม่สนใจ จากนั้นถามอย่างสงสัย “นางเซียนเมิ่ง ขนาดข้ายังไม่รู้เรื่องนี้ เหตุใดนางเซียนที่พึ่งเคยเดินทางไกลครั้งแรกอย่างท่านถึงรู้ได้?”

เมิ่งจื่อหันศีรษะไปอีกทางไม่สบตา “งานประชันการรักษาจัดขึ้นทุกห้าปี ทั้งสี่อาณาจักรพร้อมเพรียงจัดงานที่เมืองเทียนหยุนแห่งอาณาจักรเทียนหลง ผู้คนส่วนใหญ่ต่างทราบเรื่องนี้”

“นั่นสินะ... ข้าไม่ใช่หมอจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก”

เย่หวูเฉินไม่สนใจชุมนุมแพทย์โดยสิ้นเชิง การแข่งครั้งนี้ดึงดูดแพทย์ชั้นดีมามากมาย แต่กระนั้น แพทย์พรสวรรค์ที่แท้จริงจะไม่เข้าร่วมแสดงตนต่อหน้าประชาชี เช่นเดียวกับยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ที่แท้จริง ที่จะไม่เข้าร่วมการแข่งสุดยอดพรสวรรค์ในเมืองเทียนหลง สำหรับเขาแล้ว พวกที่เข้าร่วมการแข่งครั้งนี้คือคนที่ใช้วิชารักษาเลี้ยงชีพตน เมื่อพวกเขาได้รับชื่อเสียงหลังจากงานครั้งนี้ กิจการของพวกเขาก็จะรุ่งเรือง

เมืองเทียนหยุนแดนแห่งการรักษาเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทวีป ทุกวันผู้คนจำนวนมากเดินทางไกลเพื่อมาหาหมอ นี่คือเหตุผลที่งานชุมนุมแพทย์ถึงมักจัดที่เมืองเทียนหยุน ซึ่งใกล้เคียงกับที่เย่หวูเฉินคาดไว้ ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นหมอมีสังกัดทั้งโด่งดังและไร้ชื่อ ที่เหลือเป็นหมอไร้สังกัด

ใจกลางเมืองเทียนหยุนเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ทุกการแข่งจัดขึ้นในพื้นที่นี้ เวลานี้ที่โล่งกว้างเต็มไปด้วยผู้คน หากแต่ไม่วุ่นวายแม้แต่น้อย ทั้งเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยที่นั่งสี่ด้าน หันหน้าเข้าหาตรงกลางเวที เมื่อเย่หวูเฉินและอีกสามคนผ่านมาในบริเวณ งานชุมนุมกำลังเริ่มพอดี ชายชราที่มีผมเผ้าหนวดเคราสีขาว และฟันฟางแทบไม่เหลือสักซี่ ตะโกนกล่าวเปิดพิธีเสียงแหบ

“...เพื่อเชิดชูวงการแพทย์แห่งเทียนหลงและรักษาประเพณี เหล่าแพทย์ทั้งหลายที่ได้ช่วยรักษาบาดแผลและชีวิตของผู้คนนับพัน... ขอต้อนรับเข้าสู่งานประชันการรักษาครั้งที่ 48.....”

เย่หวูเฉินไม่สนใจฟังปาฐกถาไร้ประโยชน์ ขณะที่พวกเขากำลังจะเคลื่อนผ่านฝูงชน คำกล่าวถัดมาของชายชราทำให้พวกเขาต้องหยุดเท้า แล้วเงยศีรษะมองไปยังเวที

“...ในครั้งนี้ พวกเราโชคดีได้รับเกียรติจากผู้ที่น่าเคารพสูงสุดในโลกการแพทย์ เทพโอสถจะร่วมเป็นกรรมการให้พวกเรา ผู้ที่ชนะเลิศการแข่งครั้งนี้ ไม่เพียงได้รับรางวัลดังเดิม แต่ยังจะได้รับการชี้แนะโดยตรงจากเทพโอสถเป็นเวลาสิบวัน!”

พอสิ้นเสียง ชายชราร่างขาวลุกขึ้นจากที่ช้าๆ ใบหน้าสุภาพส่งสายตานำ ฉายา “เทพโอสถ” ทำให้ผู้คนตื่นเต้น สมญานี้ราวกับเสียงสายฟ้าชำแรกโสตทั้งเหล่าแพทย์และคนธรรมดา

เมื่อครู่ เย่หวูเฉินไม่ได้เหลือบแลไปที่เวที ตอนนี้เขาหันไปมองและพบว่าชายชราคนนั้นคือเทพโอสถฉุ่ยหนานเหอจริงๆ

“ไม่กี่วันก่อน ข้าพบเขาในเมืองเทียนหลง วันนี้ชายชราผู้นี้กลับปรากฎกายที่นี่ ช่างบังเอิญเสียจริง หรือว่าเขาเดินทางจากเมืองเทียนหลงเพื่อมาร่วมงานโดยเฉพาะ? แต่ด้วยความสามารถของเขา เหตุใดเขาถึงสนใจการแข่งขันพรรค์นี้ด้วย?” เย่หวูเฉินยิ้มไม่ใส่ใจ ขณะที่เขากำลังจะออกไปก็พลันรู้สึกว่าฉุ่ยหนานเหอจับจ้องมาที่เขา เขารู้ตัวว่าโชคร้ายเพราะฉุ่ยหนานเหอพบเขาเข้าแล้ว

ฉุ่ยหนานเหอบังเอิญเห็นเย่หวูเฉินท่ามกลางฝูงชน คราแรกเขาตกใจ จากนั้นเขายืนขึ้นทันที โดยไม่รักษากิริยาเขาตะโกนเรียกอยู่บนเวที “น้องชาย! น้องชาย... น้องชาย!”

จู่ๆฉุ่ยหนานเหอกลายเป็นบ้าคลั่ง ทันใดนั้นผู้คนก็มองไปที่เย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินทำได้เพียงปล่อยหนิงเสวี่ยและเอ่ยเสียงเบา “อยู่ที่นี่อย่าไปไหน” ด้วยไร้ทางเลือก เขาจึงก้าวออกไป

เขาไม่ยอมให้มีคนเห็นเมิ่งจื่อกับทงซินมากเกินไป เมื่อมีทงซินอยู่ด้วย เขาไม่กังวลเรื่องความปลอดภัย รวมทั้งเรื่องเมิ่งจื่อหลบหนี

เมื่อเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขาจึงอยากทราบว่าชายชราต้องการสิ่งใด เย่หวูเฉินไม่ประหม่าเขินอาย เขาเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปตรงกลาง ฉุ่ยหนานเหอรู้สึกสบายใจ เขามาร่วมงานชุมนุมแพทย์เผื่อจะเจอสตรีลึกลับเมื่อห้าปีก่อน การได้พบเย่หวูเฉินคราวนี้ เขารู้สึกเหมือนได้พบสหายเก่า นี่คือหนึ่งในสองคนที่เขานับถือที่สุด ทั้งยังนับได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา

“เทพโอสถ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าไม่คิดฝันเลยว่าหลังจากได้พบกันที่เมืองเทียนหลงแล้วแยกกันครานั้น เราจะได้พบกันอีกที่นี่ พวกเราคงไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตาพิศดารนี้ได้” เย่หวูเฉินยิ้มกว้าง ก้าวขึ้นไปบนเวทีโดยไม่คารวะผู้ใด เขาทักทายฉุ่ยหนานเหอขณะเดียวกันก็พยักหน้าให้ชายชราคนอื่นๆ

ฉุ่ยหนานเหอตื่นเต้นอย่างมากขณะกล่าว “เดิมทีข้าคิดว่าคงยากที่จะได้พบกันอีก ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งรวดเร็วถึงปานนี้ อกชรานี้รู้สึกพอใจยิ่งนัก” เขาลดเสียงลงแล้วกล่าว “เจ้าคงกำลังเดินทางไปเอาผลมังกรเพลิงฟ้าสินะ?”

ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่าหลินซิวถูกแพร่พิษโดยเย่หวูเฉิน และเขาเพียงแสร้งแสดงการรักษา แต่การวินิจฉัยของเขาได้สร้างความประทับใจ ยิ่งกว่านั้น “พิษ” ที่เย่หวูเฉินใช้ยังนับเป็นการเอาชนะเขา ผู้ใดมีทักษะการแพทย์เอาชนะเขาได้ เขาจะไม่มีวันลืม ยิ่งกว่านั้นเขาจะปฏิบัติต่อคนผู้นั้นด้วยความเคารพ

เย่หวูเฉินผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วถาม “อาวุโสเทพโอสถ อะไรพาท่านมาถึงที่นี่ได้?”

“โฮ่โฮ่โฮ่โฮ่ ข้ามองหาบุคคลลึกลับอยู่ผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลที่ลึกลับยิ่งกว่าอย่างเจ้าจะอยู่ที่นี่” เสียงของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่ทราบควรทำอย่างไรต่อหน้าเย่หวูเฉิน เขาหันไปหาเจ้าภาพจัดงานชุมนุมแพทย์ที่อยู่ข้างๆแล้วกล่าว “ประธานฉิน น้องชายผู้นี้ทักษะการแพทย์บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ลึกล้ำสุดหยั่งอย่างแท้จริง ต่อหน้าเขา ข้าทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ ยอมรับอย่างจริงใจ ผู้ใดสามารถได้รับคำชี้แนะจากเขา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้นั้นไปจนชั่วชีวิต”

คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเสียงดัง แต่ถ้อยคำราวกับมีพลังชำแรก ทุกผู้คนในจัตุรัสต่างได้ยินชัดเจน หลังกล่าวจบ ฉุ่ยหนานเหอเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ยากจะสัมผัสให้กับเย่หวูเฉิน

สามรอยเส้นยับย่นปรากฎบนหน้าผากของเย่หวูเฉิน เขาเกลียดนักและอยากเสียบชายชราผู้นี้ด้วยกระบี่ ฉุ่ยหนานเหอจำที่เขาปฏิเสธคำขอของตนได้ดี ดังนั้นจึงใช้วิธีนี้เพื่อดูทักษะของเย่หวูเฉิน ยิ่งคนมีทักษะแพทย์สูงส่งเท่าไหร่ ยิ่งอยากเห็นทักษะของผู้ที่เหนือกว่า เห็นได้ชัดว่าฉุ่ยหนานเหอกำลังบีบบังคับเขา ฉุ่ยหนานเหอยิ้มบางแล้วหันศีรษะขวับ เขาสบสายตาคู่หนึ่งในฝูงชน สายตาคู่นั้นหลบในทันที แต่เย่หวูเฉินยังคงเห็นเจ้าของสายตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน

เป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย... เย่หวูเฉินงุนงง สายตาของนางกลายเป็นกระตือรือร้น ราวกับสายตาผู้ล่าที่มองหาเหยื่อ นั่นมันหมายถึงอะไร?

ฝูงชนและแพทย์ทั้งหลายมองชายหนุ่มที่จู่ๆก็ขึ้นมาบนเวที ด้วยรูปร่างลักษณะเลิศเลอ ยิ่งได้ฟังถ้อยคำของเทพโอสถ พวกเขาทั้งหมดต่างเผยสีหน้าตะลึงลาน

เทพโอสถคือตัวตนแบบไหน? ผู้ที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมแพทย์ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่มีความรู้ทางการแพทย์อย่างละเอียด และทราบความยิ่งใหญ่ของสมญานาม ชายผู้นี้อยู่บนจุดสูงสุดในโลกแห่งการรักษา และไม่ใช่คนดาษดื่นธรรมดา หรือนี่จะหมายความว่า ชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบจะมีทักษะแพทย์เหนือล้ำจนกระทั่งเทพโอสถยังต้องยอมจำนน?

หากถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้ออกจากปากของเทพโอสถ พวกเขาคงไม่มีวันเชื่อลง



<<<PREV    .    NEXT>>>