วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 134

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 134 แท้จริงแล้วคือผู้ใด!

หลงเจิ้งหยางพยายามคัดค้านแต่ถูกหลงหยินห้ามปรามด้วยสายตา ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาพอรู้แล้วว่าตัวตนของเย่หวูเฉินแกร่งกล้ากว่าโลหะ น้ำเสียงที่เจาะจงทุกถ้อยคำ ไร้ที่ว่างให้กลับตัว เขาส่ายศีรษะด้วยไม่มีทางเลือกและถอนหายใจ “ขุนพลชราหลิน...”

หลินขวงทรุดเข่ากระแทกพื้นลงเบื้องหน้าเย่หวูเฉิน หลินซานตะลีตะลานเหยียดแขนเข้าพยุงร่าง เขาตัวสั่นด้วยความโกรธเมื่อถูกหลินขวงกล่าวดุดัน “ซานเอ๋อร์ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! เพื่อฝ่าบาทและอาณาจักรเทียนหลง ต่อให้ต้องตกตายทุเรศทุรัง พวกเราก็ยอมทำโดยไม่ปริปากบ่น กับแค่เรื่องคุกเข่า! ตราบใดที่ฝ่าบาทปลอดภัย ต่อให้พวกเราตระกูลหลินต้องเจ็บปวดจนตายเพราะคุกเข่าต่อหน้าเขา พวกเราก็จะทำ!”

เป็นถ้อยคำที่กล่าวด้วยความอุทิศตัวและน่ายกย่อง ผู้คนล้วนไม่คิดว่าพวกเขาจะเสียชื่อเสียง ตรงกันข้ามกลับสร้างความรู้สึกชื่นชมอย่างล้ำลึก

หลินซานไม่ลังเลอีกต่อไป เขาคุกเข่าลงข้างๆหลินขวง “ดี... วันนี้ข้าหลินซานกล่าวถ้อยคำล่วงเกินตระกูลเย่หลายครั้งหลายหน นี่คือความผิดของข้าหลินซาน ข้าขอยอมรับ!”

ตระกูลหลินสองรุ่นที่มีสถานะสูงสุด พากันคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าผู้เยาว์ที่สุดของตระกูลเย่ เคราะห์ดีมีผู้คนไม่มากที่เห็นเหตุการณ์นี้ ไม่เช่นนั้นคงทำให้คนมากมายต้องตกตะลึง เย่หวูเฉินแสดงท่าทีพึงใจและกล่าว “ดีมาก ใต้เท้าหลินช่างมีจิตสำนึกยอมรับความผิดของตนเอง ดังนั้นตระกูลเย่ของข้าจะไม่ถือสาหาความ ข้าจะให้ทั้งเมืองได้รับรู้เหตุการณ์ในวันนี้ รวมทั้งถ้อยคำจากใจของใต้เท้าหลิน องค์จักรพรรดิและใต้เท้าทุกคนล้วนสามารถเป็นพยาน”

ถ้อยวาจานี้ทำให้หลินขวงและหลินซานผู้มีปกติหนักแน่นดั่งเหล็กไหลต้องสีหน้าเปลี่ยนในทันที ยามนี้พวกเขารักษาความสงบเอาไว้ได้เพราะมีผู้คนรายล้อมจำนวนน้อย ซึ่งส่วนมากเป็นองค์ชายและหมอหลวง ที่ได้เห็นพวกเขาสละเกียรติของตนเพื่อองค์จักรพรรดิ แต่หากข่าวนี้แพร่ออกไปในเมืองจนผู้คนรับรู้กันทั่ว ย่อมสะเทือนต่อชื่อเสียงตระกูลหลินอย่างหนัก ตระกูลหยินย่อมไม่อาจเงยศีรษะเมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลเย่ ชื่อเสียงของพวกเขาป่นปี้ลงอีกครั้ง

เมื่อได้คุกเข่าไปแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่กัดฟัน อดกลั้นตัวเองไม่ให้พูดอะไรมากกว่านี้ บทเรียนที่พวกเขาได้รับหลังความผิดพลาดหลายหน นั่นคือหากยั่วยุเย่หวูเฉิน พวกเขาจะถูกเหยียบย่ำกระทืบซ้ำยิ่งกว่าเดิม

“โปรดลุกขึ้น พวกท่านสองคน แม้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่ ขออภัยที่หวูเฉินต้องกล่าว ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม หากกล้าคิดร้ายต่อตระกูลเย่ ข้าจะทำให้มันต้องชดใช้!”

“ขุนพลชราหลิน , ขุนพลหลิน โปรดลุกขึ้น ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับพวกเจ้าแล้ว” หลงหยินกล่าวเชิงขอโทษ แต่เขาก็ยังคงไม่มีโทสะต่อเย่หวูเฉิน

หลินขวงและหลินซานกำลังจะลุกขึ้นยืน ขณะนั้นมีขันทีรีบร้อนเข้ามา ขันทีไม่ทันได้อ้าปากพูด ก็เห็นพวกเขาสองคนคุกเข่าต่อหน้าเย่หวูเฉิน ขันทีตัวแข็งทื่อราวกับเห็นผีสางตอนกลางวัน จนถึงขนาดไม่อาจกล่าวคำ

“มีเรื่องอะไร? ทำไมถึงแตกตื่นนัก?” หลงหยินถามเสียงดังพร้อมขมวดคิ้ว

“อ่า...” ขันทีดูคล้ายพึ่งตื่นจากฝัน เขาชะงักนิดหนึ่ง “คือ...บุตรคนรองของใต้เท้าหลินถูกคนทำร้ายบนถนน ยิ่งกว่านั้น ขาข้างขวาของเขายังถูกทำให้พิการ...”

“อะไรนะ!?” หลินขวงและหลินซานตกใจ แม้ว่าหลินอวี้ไม่ใช่บุคคลที่คู่ควรได้รับความเคารพ แต่เขาก็ยังสืบสายเลือดของตระกลูหลิน ขณะที่ลุกขึ้นยืนหลินซานตะโกนด้วยความโกรธเคือง “ผู้ใดทำร้ายอวี้เอ๋อร์ของข้า?”

“เรื่องนี้...” ขันทีลังเลอยู่ขณะหนึ่ง จากนั้นชี้ไปที่เย่หวูเฉิน “จากที่นายน้อยหลินคนรองกล่าว ผู้ที่ทำร้ายเขาคือนายน้อยตระกูลเย่”

ขันทีรู้สึกหัวหมุนอยู่ชั่วขณะ มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย... นายน้อยเย่ทำร้ายนายน้อยหลินสาหัสสากรรจ์ แต่ผู้อาวุโสของตระกูลหลินที่อยู่ที่นี้กลับ...คุกเข่าอยู่เบื้องหน้านายน้อยเย่...

หลินซานสะดุ้งโหยง ดึงหลินขวงลุกขึ้นแล้วจ้องไปที่เย่หวูเฉิน “เจ้า...ทำไมเจ้าต้องทำร้ายอวี้เอ๋อร์ของข้าด้วย? แม้ว่าเจ้าจะเกลียดข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้!”

หลงหยินถามอย่างมีโทสะด้วยเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าทำร้ายหลินอวี้จริงๆรึ?"

เย่หวูเฉินหัวเราะหากแต่ยังไม่กล่าวคำใด เหมือนที่คาดไว้ เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเมื่อหลงเจิ้งหยางก้าวออกมาเบื้องหน้าแล้วกล่าว “เราไม่อาจโทษเขาในเรื่องนี้ได้ ที่ข้าสามารถบอกได้ก็คือ เป็นหลินอวี้ทำตัวเองทั้งนั้น”

เมื่อนึกถึงการกระทำของหลินอวี้ระหว่างทางกลับพระราชวัง หลงเจิ้งหยางรู้สึกโกรธขึ้งขึ้นมาในใจ ภายใต้ความโกรธ เขาไม่คิดที่จะเรียกหาว่าญาติผู้น้องแต่เรียกชื่อหลินอวี้โดยตรง

“หมายความว่ายังไง?” หลงหยินถาม หลินขวงและหลินซานหัวใจกระตุก พวกเขารู้จักหลินอวี้ดีว่าเป็นคนประเภทไหน หรือว่าเจ้าเด็กนั่นกระทำชั่วร้ายและสร้างปัญหาใส่ตน?

หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงเย็นชา “เพื่อที่จะช่วยเหลือเสด็จแม่ น้องเย่และข้าควบม้าห้อตะบึงกลับวังหลวงไม่กล้าเสียเวลา แต่ระหว่างทาง หลินอวี้กลับสั่งคนใช้สองคนฟาดแส้ใส่ม้า ด้วยหวังให้น้องเย่ตกลงจากหลังม้า น้องเย่ไม่อยากเสียเวลาช่วยชีวิตเสด็จแม่จึงหวดแส้ทำร้ายพวกมัน เรื่องนี้เราไม่อาจโทษน้องเย่ได้ หลินอวี้ได้รับผลที่ตนหว่านเอง ตัวข้าก็อยากถามเช่นกัน... เสด็จแม่ป่วยหนักถึงเพียงนี้ เขาไม่มาเยี่ยมยังไม่พอ กระทั่งยังตั้งใจขัดขวางพวกเรา เขาต้องการอะไรกันแน่?”

หลินขวงและหลินซานมือเท้าเย็นเยียบ พวกเขารู้เลยว่าโดนอีกฉาดแล้วแน่ๆ ไม่เพียงไม่สามารถกล่าวโทษตระกูลเย่ พวกเขายังต้องหาเหตุผลมาแก้ตัว ตอนนี้เย่หวูเฉินช่วยชีวิตจักรพรรดินี สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ทั้งยังรับภารกิจสำคัญช่วยชีวิตจักรพรรดิและจักรพรรดินี ต่อให้พวกเขาถูกล่วงล้ำ ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้อีกต่อไป

เย่หวูเฉินตั้งใจทำร้ายหลินอวี้ให้พิการ เขารังเกียจคนประเภทที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านโดยถือตนว่ามีตระกูลหนุนหลัง หลินอวี้กลายเป็นคนพิการย่อมทำให้ผู้คนจำนวนมากปรบมือด้วยความยินดี

“ฝ่าบาท ข้าจะสืบเรื่องนี้จนกว่าความจริงจะกระจ่าง โปรดอนุญาตให้พวกเราออกไป ข้าจำเป็นต้องไปดูอาการของอวี้เอ๋อร์” หลินขวงกล่าวด้วยสีหน้าหวั่นกลัว

“เจ้าไปได้” หลงหยินโบกมือ

หลงขวงและหลินซานรีบโกยออกไปอย่างรวดเร็ว

เย่หวูเฉินทำความเคารพเช่นกัน เขากล่าว “ฝ่าบาท หวูเฉินต้องใช้เวลาสองวันเพื่อเตรียมตัว จากนั้นจึงสามารถออกเดินทางได้ ข้าจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง ตอนนี้จักรพรรดินีมีพลานามัยดีขึ้นแล้วชั่วคราว แต่เนื่องจากพิษกำเริบทำให้ร่างกายนางอ่อนแออย่างมาก ใช้เวลาฟื้นฟูสักสองสามวันน่าจะเพียงพอ หวูเฉินขอตัวลา”

หลงหยินถอนหายใจ ผงกศีรษะแล้วกล่าว “ไปเถอะ ข้าจะบอกกับขุนพลชราเย่ด้วยตนเอง หากมีสิ่งใดที่เจ้าจำเป็นต้องใช้สำหรับการเดินทาง จงบอกข้าไม่ต้องลังเล ข้าย่อมสนองสิ่งที่เจ้าต้องการ”

“เช่นนั้นหวูเฉินขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา”

ตรงไปที่ประตูราชวัง เย่หวูเฉินถอนหายใจยาว ทุกสิ่งเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ ไร้ความผิดพลาดหรือสิ่งที่ไม่คาดคิด เขาไม่เชื่อว่าหลงหยินจะสงสัยสิ่งใด ต่อให้สงสัยก็เท่านั้น หลงหยินย่อมไม่กล้าเสี่ยงชีวิตตน ยิ่งบุคคลมีสถานะสูงส่งพวกเขายิ่งรักชีวิตตน

ตอนนี้เอง มีชายหนุ่มแต่งกายสง่าท่าทางทรนง เดินเข้ามาพร้อมราชองครักษ์ผู้ถือหอก เมื่อเห็นเย่หวูเฉินขวางทางเข้าประตูราชวัง เขาตะโกนเสียงเคร่งครัด “หลีกไป!”

เย่หวูเฉินขยับออกด้านข้าง มองคนผู้นั้นเดินผ่าน ชายหนุ่มผู้นี้ไม่แม้กระทั่งเหลือบมองตน เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าประตูรอชายผู้นั้นก้าวเข้าไป จากนั้นก้มคารวะและกล่าว “องค์ชายสาม...”

เย่หวูเฉินมองด้วยสีหน้าไม่แยแสขณะที่พวกเขาเดินห่างออกไป จนกระทั่งร่างนั้นหายลับจากสายตา เย่หวูเฉินเริ่มเดินต่อราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จากนั้นดูเหมือนเขาพูดกับตัวเอง “ทงซิน จดจำคนผู้นั้นไว้”

ปัจจุบันหลงหยินมีโอรสทั้งหมด 7 คน คนโตคือหลงเจิ้งหยาง คนที่สองคือหลงเจิ้งเยว่ สองคนนี้เกิดจากจักรพรรดินีหลินซิว โอรสคนที่สามคือหลงเจิ้งฉีที่เกิดจากนางสนม แม้ว่าหลงเจิ้งหยางคือรัชทายาท หลงหยินก็ไม่โปรดปรานเขาสักเท่าใด เพราะตั้งแต่เด็กเขาไร้ความเด็ดขาด มักทำตามความปรารถนาของตน ขาดภาวะผู้นำโดยสิ้นเชิง ไร้ความคิดขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าเขาไม่อาจเป็นผู้นำที่ดีได้ในอนาคต ยิ่งกว่านั้น องค์ชายสองหลงเจิ้งเยว่ยังหลงใหลในวิชาอักษร ไม่สนใจในวรยุทธใดๆ รวมทั้งไม่สนใจการปกครอง เขาไร้ความคิดขึ้นครองบัลลังก์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้หลงหยินผิดหวังอย่างมาก ผู้ที่หลงหยินโปรดปรานมากที่สุดคือองค์ชายสาม...หลงเจิ้งฉี มีข่าวลือว่าเขายโสตั้งแต่ยังเด็ก เขาจัดการเรื่องต่างๆอย่างเฉียบขาด บางครั้งเขายังเผยด้านแกร่งกล้าออกมา ในราชวังมีข่าวลือว่าอีกไม่นานหลงหยินจะปลดตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทและมอบให้องค์ชายสาม และเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

บุคคลเมื่อครู่นี้ก็คือหลงเจิ้งฉี

“เป้าหมายยังไม่ทันถูกกำหนด แต่เจ้ากลับบังเอิญปรากฎกายออกมาเอง นี่คงเป็นประสงค์ของสวรรค์ ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้เจ้าตกตาย เช่นนั้นเจ้าก็จงตาย” เสียงของเขาเบามาก เบาจนมีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยิน

“น้องชาย โปรดรอก่อน”

เบื้องหลังเขามีเสียงชราอัธยาศัยดีดังขึ้น เย่หวูเฉินหันกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มกว้างและมองไป เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของเสียง

หลังจากที่เย่หวูเฉินออกมา ฉุ่ยหนานเหอก็ตามเขามา เหตุผลที่เขาอยู่ต่อก่อนหน้าก็เพื่อรอเย่หวูเฉิน

ฉุ่ยหนานเหอเดินมาอยู่เบื้องหน้า หัวเราะแล้วกล่าว “น้องชาย ผู้ชรานี้ขอถามคำถามเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”

“ไม่ได้” เย่หวูเฉินตอบพลางหัวเราะ คำตอบนี้ปิดทางไม่ให้ฉุ่ยหนานเหอได้กล่าวต่อ

นี่คือครั้งที่สองในตลอดหลายปี ที่มีคนแสดงความไม่เคารพต่อเขา ฉุ่ยหนานเหอไม่โกรธแต่อย่างใด “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเชิญเจ้าไปดื่มชาด้วยกันสักหน่อยได้หรือไม่?”

เย่หวูเฉินโบกมือ “โปรดกลับไปเถิด ผู้อาวุโสเทพโอสถ คุณหนูฉุ่ยคงกังวลมากหากท่านปล่อยให้นางรอนาน ดูเหมือนท่านจะพบสาเหตุแท้จริงที่จักรพรรดินีป่วยแล้ว อย่าได้ลังเลเพียงเพราะคำโกหกของข้าและสงสัยในตัวเอง ท่านคือเทพโอสถผู้โด่งดัง”

แววตกใจวาบผ่านใบหน้าของเขา เขากล่าวในทันที “ที่แท้เจ้าก็คือคนที่องค์หญิงกล่าวถึง ถ้าเช่นนั้นคงพูดได้ว่า... คนที่แพร่พิษจนทำให้จักรพรรดินีล้มป่วย จริงๆแล้วก็คือเจ้า?”

“ถูกต้อง ข้าเอง” เย่หวูเฉินตอบโดยไม่ลังเล เขาส่ายศีรษะแล้วกล่าว “แต่ท่านเข้าใจผิดไปจุดหนึ่ง จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่พิษ ข้าบอกท่านได้เพียงเท่านี้ ขออภัยที่ข้าต้องไปแล้ว เทพโอสถ,ท่านควรกลับไปรายงานเมื่องานของท่านเสร็จลง”

เย่หวูเฉินหันกายจากไป ฉุ่ยหนานเหอมองร่างที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเอง

หลังจากเย่หวูเฉินออกไป หลงหยินไม่ได้รั้งอยู่ต่อนานนักในวังของจักรพรรดินี เขาขอตัวกลับไปยังห้องหนังสือของตน ขมวดคิ้วมุ่นและครุ่นคิดอย่างหนัก

“อาวุโสหลี่ , อาวุโสหลิว , อาวุโสเยี่ยน พวกท่านคิดว่าคำพูดของเขาน่าเชื่อถือหรือไม่? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องนัก?”

ร่างของชายชราสามคนปรากฎขึ้นเบื้องหน้าหลงหยินราวกับภูติผี หนึ่งในพวกเขากล่าว “ฝ่าบาท เป็นความจริงที่เขารักษาจักรพรรดินี ทั้งยังรู้สาเหตุและยาถอนพิษ นอกจากนั้น เขายังเสี่ยงชีวิตของตนเดินทางเพื่อไปเอายาถอนพิษกลับมา ข้าไม่อาจชี้ชัดว่าเขาโกหกหรือไม่ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเขาจะเสี่ยงชีวิตของตนไปเพื่ออะไร”

“แต่จิตใต้สำนึกบอกข้าว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง” หลงหยินกล่าว

“ตรงไหนหรือที่ไม่ถูกต้อง?”

หลงหยินส่ายศีรษะแล้วกล่าว “อันที่จริง เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหก เพราะจากสถานการณ์นี้เขาไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ กระทั่งยังอันตรายต่อชีวิตของตน ด้วยความฉลาดหลักแหลมของเขา ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่กลัวทั้งน้ำและไฟ เขาก็ยังชี้ยาถอนพิษเพียงเฉพาะหนึ่งเดียว และผู้เดียวที่ข้าจะขอร้องได้ก็คือเขา แม้ว่าเขาคิดทำตามบัญชาของข้า แต่ก็ไม่ถึงขนาดสละชีวิตของตน ตรงจุดนี้ข้าไม่อาจเข้าใจได้”

“ฝ่าบาท ท่านคิดมากเกินไปแล้ว เขาคงคิดไม่ถึงว่าท่านจะรู้ว่าเขามีความสามารถต้านทานได้ทั้งน้ำและไฟในช่วงเวลาสามเดือน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ ฝ่าบาทได้ยืนยันโดยการถามขุนพลชราเย่เป็นการส่วนตัว”

“พวกท่านทั้งสามเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ ‘สามพิษประหลาดที่สุดของโลก’ บ้างหรือไม่?”

“ไม่เลย เพราะพวกเราทั้งสามอาศัยอยู่ในวังเป็นเวลานาน พวกเราจึงเขลาและไร้ประสบการณ์ พวกเราทั้งสามจะเทียบกับเทพกระบี่ผู้มีประสบการณ์โชกโชนได้อย่างไร? เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราจะไม่ทราบเรื่องนี้”

หลงหยินพยักหน้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงเบา “หากทุกสิ่งที่เย่หวูเฉินกล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นเป็นใครกันที่แพร่พิษ... หรือว่าจะเป็นสำนักจักรพรรดิเหนือที่หายตัวไปในอาณาจักรชางหลาน ฮึ่ม... นอกจากพวกเขาแล้วยังจะมีใครสามารถทำแบบนี้ได้? ไม่สิ หากสำนักจักรพรรดิเหนือเคลื่อนไหว ย่อมเป็นการกระตุ้นสำนักจักรพรรดิใต้ และหากสำนักจักรพรรดิเหนือต้องการแก้แค้น พวกเขาย่อมไม่ใช้วิธีการน่าละอายเช่นนี้....”

“แท้จริงแล้วคือผู้ใด...”



<<<PREV    .    NEXT>>>