วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 140

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 140 ท่านรอดูก็แล้วกัน!

“คุณหนูชูเกอผู้งดงาม ธิดาแห่งขุนพล เข้าออกบ้านผู้อื่นไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะควร ท่านว่าไหม?” เย่หวูเฉินโพล่งออกมาเมื่อเห็นนาง

“ฮี่ฮี่ ท่านคือว่าที่สามีของข้า ไม่เป็นไรอยู่แล้ว ข้าชูเกอเสี่ยวหยูไม่สนใจว่าผู้อื่นจะกล่าวอย่างไร อ้อ จริงสิ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเมื่อวาน ท่านจะแต่งงานกับข้าเมื่อไหร่?” ชูเกอเสี่ยวหยูเดินมาหาเขาอย่างไร้เดียงสา จริงใจ และน่ารัก พอมองนางอีกมุม... นี่เป็นการเสแสร้งชัดๆ

“พูดกันตามตรง ข้าจะไม่แต่งกับเจ้า หากเจ้ายังไม่หยุดตามตื้อ บางทีระหว่างเรากระทั่งเพื่อนยังไม่อาจเป็นได้” เหวูเฉินกล่าวทั้งที่หน้ายิ้ม คำพูดไร้น้ำใจทำให้ชูเกอเสี่ยวหยูชะงัก

“ท่าน... ทำไมท่านถึงพูดแบบนี้? ก่อนหน้านี้ท่านก็ยอมรับแล้ว...ท่านกระทั่งแตะต้องตัวข้าเมื่อวาน ทำไม... ทำไมท่านถึงไม่แต่งกับข้า?!” สองมือเท้าสะเอว ชูเกอเสี่ยวหยูเปลี่ยนบทเป็นไม่ให้อภัย

เย่หวูเฉินรู้สึกมึนงง... เขาไปทันสัญญาตอนไหน? บางทีในความฝันของนาง แตะต้องตัวงั้นหรือ? แขนของเขาถูกนางรวบรัดเอาไว้ ตรงจุดนี้ ต้องเป็นนางที่แตะต้องตัวเขาก่อน

“ฮึ่ม! ข้าจะบอกท่านให้ ข้าชูเกอเสี่ยวหยูตัดสินใจเลือกท่านแล้ว นอกจากท่าน ข้าจะไม่แต่งกับผู้ใด เพราะฉะนั้นท่านต้องแต่งกับข้า!” ชูเกอเสี่ยวหยูชี้ที่เขาและตะโกนเสียงดัง คนที่อยู่ในสวนด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลเย่สามารถได้ยินนางอย่างชัดเจน ผู้คุ้มกันและคนใช้ต่างเหงื่อตกเมื่อได้ยินคำกล่าวของนาง พวกเขาเริ่มถอนหายใจทีละคน เมื่อคิดว่าขุนพลชูเกอผู้แกร่งกล้ากลับสามารถเลี้ยงดูธิดาเช่นนี้ได้

เย่หวูเฉินกล่าวอย่างเสียไม่ได้ “เอาละ... งั้นข้าขอถามว่าทำไมเจ้าถึงอยากแต่งกับข้า? เจ้ากับข้าพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง หญิงสาวที่ทำอะไรหุนหันย่อมไม่ใช่เรื่องดี”

“ท่านสิหุนหัน! ข้าไม่ใช่หญิงสาวที่หนุนหัน ไม่อย่างนั้น...ข้าคงไม่ปฏิเสธผู้ชายน่ารังเกียจพวกนั้นที่พ่อของข้าแนะนำให้เมื่อก่อนหน้า”

เจ้าเนี่ยนะไม่หุนหัน? ข้าคิดว่าเจ้าหุนหันมาก... ตระกูลของเจ้าหุนหันด้วยเช่นกัน

ชูเกอเสี่ยวหยูก้าวเท้าใกล้เข้ามา จนร่างของนางแทบจะชนกับอกของเย่หวูเฉิน จากนั้นนางกล่าวเสียงเบา “เพราะว่าข้าชอบท่าน ดูท่านรูปโฉมหล่อเหลาขนาดนี้ ไม่ว่าหญิงสาวคนใด ก็ต้องหลงใหลชอบมองท่าน หากข้าได้แต่งกับท่าน ข้าจะได้มองความหล่อของท่านทุกวัน... ทุกวันต้องมีความสุขมากแน่”

ชูเกอเสี่ยวหยูสองตาเป็นประกาย แทบจะเป็นดาราเด้งออกมา เย่หวูเฉินคล้ายจำเป็นต้องวิ่งหนีพร้อมเอามือปิดหน้า... เขาถูกทำราวกับเป็นดอกไม้ในแจกันที่สตรีนางนี้เชยชม!

“ยิ่งกว่านั้น ท่านยังฉลาดหลักแหลม ท่านทำให้ตระกูลหลินทั้งหมดโง่งมไม่อาจกล่าวคำยามปะทะฝีปาก ทักษะวรยุทธของท่านก็ยอดเยี่ยม กระทั่งหลินเสี่ยวยังไม่ใช่คู่มือท่าน ท่านยังรับมือเรื่องต่างๆได้อย่างหนักแน่น ท่านกล้าโยนหลินอวี้แห่งตระกูลหลินออกจากห้อง ท่านยังมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ในวันประลองภาพวาดของท่านทำให้ข้าร้องอุทานเป็นเวลานาน เพลงขลุ่ยที่ท่านเป่าทำให้ข้าร้องไห้อยู่นานมาก...ฮึ่ม หลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยร้องไห้นานขนาดนั้น ไม่นับที่แกล้งทำ ตอนนั้นข้าคิดว่าผู้ชายยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบอย่างท่านช่างเหมาะกับข้าชูเกอเสี่ยวหยูอย่างยิ่ง กระทั่งท่านพ่อข้ายังถึงกับกล่าว ว่าในอาณาจักรเทียนหลงนี้บุรุษโดดเด่นเช่นท่านอาจไม่ปรากฎอีกเลยในร้อยปี บุรุษที่ข้าชูเกอเสี่ยวหยูอยากแต่งด้วยย่อมต้องเป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก”

เมื่อชูเกอเสี่ยวหยูกล่าว ร่างของนางแนบเข้ากับอกของเย่หวูเฉินโดยไม่รู้ตัว หลงใหลในกลิ่นของเขา นางแทบอยากกางแขนออกและกอดเขาไว้

“คุณหนูชูเกอ ที่จริงข้าไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าว่าหรอก เจ้ากล่าวเกินไป” เย่หวูเฉินกล่าวราบเรียบ เขายืนนิ่งร่างกายไม่ไหวติง

“เปล่าซะหน่อย! ท่านต้องยอดเยี่ยมกว่าที่ข้ารู้ พ่อข้ายังบอกอีกว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวท่านและไม่มีผู้ใดรู้ ดังนั้น ข้าต้องแต่งงานกับท่าน มีเพียงท่านเท่านั้นที่คู่ควรกับข้าที่สุด”

เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้น ส่ายศีรษะแล้วกล่าว “เจ้าพูดถูก ที่จริงแล้วข้าคู่ควรกับเจ้า ไม่เพียงข้าชำนาญในอักษรและวิทยายุทธ กระทั่งพื้นฐานตระกูล , ฐานะ , ชื่อเสียง หรือรูปร่างหน้าตา... ไม่มีชายใดเทียบข้า ผู้ที่คู่ควรกับสตรีทุกคนในเมืองเทียนหลง ข้าขอบังอาจถาม คุณหนูชูเกอ เจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

ชูเกอเสี่ยวหยูคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นตอบกลับอย่างไม่แน่ใจ “ข้า...แน่นอนข้าคู่ควรกับท่าน ในเมื่อพี่สาวตระกูลฮั่วคู่ควรกับท่าน ดังนั้นข้าก็คู่ควรด้วยเช่นกัน”

“เจ้าสวยกว่านางงั้นหรือ?”

“ข้า...แม้ว่าข้าไม่สวยเท่านาง แต่ข้า...”

“แล้วนิสัยของเจ้าละ เจ้าอ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนนางรึเปล่า?”

“ใครว่าข้าไม่อ่อนโยน? ข้าจะ ข้าจะต้องอ่อนโยนให้มากกว่านางอย่างแน่...”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะขัดจังหวะนาง “ช่างเถอะ สตรีที่วิ่งเข้าออกบ้านของบุรุษ ตะโกนและร่ำร้องให้เขาแต่งงาน ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเพียงใด เจ้าก็ไม่อาจกลายเป็นคนที่นุ่มนวลและอ่อนโยน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าดื้อรั้นและเจ้าเล่ห์ ชูเกอเสี่ยวหยู ชื่อเสียงของเจ้านั้นรู้กันไปทั่ว”

“ข้า...”

“เจ้าทำอาหารเป็นหรือเปล่า? เสี่ยวโหรวโหรวของข้าทำอาหารอร่อยยิ่งกว่าพ่อครัวชาววัง แม้ว่านางไม่ใช่ผู้ชำนาญการทำอาหาร”

“เจ้ารู้จักคุณสมบัติของกุลสตรีบ้างหรือไม่?”

“เจ้าวาดภาพเป็นหรือไม่?”

“เจ้าเป่าขลุ่ยเป็นหรือไม่? อะแฮ่ม ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะถ้าเจ้าเป่าไม่เป็น เจ้าร่ายบทกวีเป็นหรือไม่?”

“เจ้าฝึกวรยุทธหรือพลังเวทย์บ้างหรือไม่?”

“เจ้าซักผ้าหรือทำงานบ้านได้หรือไม่?”

“เจ้าดูแลบุรุษได้หรือไม่?”

ชูเกอเสี่ยวหยูตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อโดนคำถามเหล่านี้ นางกระพริบดวงตาใสกลมโตปริบๆ นางไม่อาจหยุดกระพริบตาได้ ทั้งปากนางยังไม่อาจเอ่ยคำว่า “ได้” ออกมา

“เอาละ อย่างนั้นเจ้าบอกข้าทีว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง? หรือว่าเจ้าเชี่ยวชาญในเรื่องไหน? หรือจะให้ข้าตอบแทนเจ้าเอง เจ้าดื้อด้าน , ก่อปัญหา , อารมณ์ฉุนเฉียว ได้แต่วิ่งไปทั่วไม่รักษาตัวเป็นกุลสตรีที่ดี ทั่วทั้งเมืองเทียนหลง ใครบ้างไม่ทราบว่าขุนพลชูเกอมีธิดาที่เหลี่ยมจัดและดื้อรั้นหัวแข็ง? แบบนี้แล้ว ข้ายังมีเหตุผลอะไรที่ต้องแต่งกับเจ้า? เจ้ามีอะไรที่คู่ควรกับข้า?” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างไม่แยแสขณะมองที่นาง

“หากตอนนี้มีบุรุษที่ไม่คู่ควรกับเจ้าอย่างยิ่ง มาขอเจ้าแต่งงานซ้ำซาก เจ้าจะยอมรับหรือจะปฏิเสธ? เจ้าจะดีใจหรือรังเกียจ? วางใจเถอะ แม้ว่าคุณหนูชูเกอไม่มีคุณสมบัติใดๆ การแต่งสำหรับเจ้าก็เหมือนซื้อแจกันดอกไม้ตั้งแสดงไว้ในบ้าน เจ้าเพียงอาศัยชื่อเสียงของบิดากับถือว่ามีพื้นฐานตระกูลจึงอวดดีและถือตน เชิดหน้ามองฟ้า ปฏิเสธและรังเกียจ ข้า,เย่หวูเฉิน มีพื้นฐานตระกูลยิ่งใหญ่กว่าเจ้า อวดดีและถือตนยิ่งกว่าเจ้า แต่ความแตกต่างกันก็คือ ข้ามีคุณสมบัติที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียม ขณะที่เจ้า...ไม่มีสิ่งใดอยู่ในสายตาข้า”

ถ้อยคำไร้หัวใจประดังมาราวกับค้อนยักษ์ทุบชูเกอเสี่ยวหยูเป็นชิ้นๆ ความร่าเริงก่อนหน้าหายไปไม่เหลือร่องรอย นางเพียงยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น ดวงตานางเริ่มแดง ดูเหมือนจิตใจนางถูกกระทบอย่างรุนแรง

“ทะ..ท่านพูดกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร...” หลังผ่านไปครู่ใหญ่ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบสะอื้น ใช่แล้ว นางอวดดีและถือตน สายตานางเชิดสูงมองฟ้า ไม่เคยไยดีต่อบุรุษใด... นางถูกปฏิเสธโดยตรงและไร้หัวใจ ทั้งยังถูกวิจารณ์โดยบุรุษที่นางมีใจให้ บุรุษที่นางอยากแต่งงานด้วย... วันนี้ นางได้รู้ว่าหัวใจที่เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงนั้นเป็นเช่นใด กระทั่งบิดานางยังไม่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้ยามที่เขาโมโห

เย่หวูเฉินถอนหายใจแล้วค่อยๆลดเสียงลง “ที่ข้ากล่าวนั้นคือความจริง คุณหนูชูเกอ เจ้าควรกลับไปบ้านตอนนี้ จากนั้นค่อยๆคิดทบทวนคำพูดของข้า ย่อมมีบางคนที่เหมาะกับเจ้ายิ่งกว่านี้เสมอ เจ้าไม่คู่ควรกับข้าเลย สตรีของข้าเย่หวูเฉินจะต้องเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุด และเจ้าไม่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย หากมีวันหนึ่งที่เจ้ามีความสำเร็จเทียบเท่าบิดาของเจ้า เวลานั้นข้าจะลองคิดดูอีกที”

แหมะ

ในที่สุด หยดน้ำก็ร่วงออกจากดวงตาของชูเกอเสี่ยวหยู มันหยดลงบนพื้นอย่างเงียบงัน มีเสียงเพียงบางเบา นางอ้าปากหากแต่ไร้เสียงกล่าว นางหันร่างแล้วเดินออกไปเงียบๆ ไหล่ของนางสะท้านเล็กน้อย ฝีเท้าหนักราวกับหิน ชั่วเวลานี้ นางราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

ในที่สุด ร่างของนางก็หายไปจากประตูหลักตระกูลเย่ หวังเวิ่นชูที่แอบฟังอยู่ตลอดออกมายืนข้างๆเย่หวูเฉิน “เฉินเอ๋อร์ เจ้าไม่ใจร้ายกับนางเกินไปหรือ... คำพูดของเจ้าเช่นนี้... หากข้าเป็นมารดาของเสวี่ยหยู แล้วเห็นลูกสาวถูกทำร้ายอย่างไร้หัวใจ ข้าอาจตบหน้าเจ้า”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ เขายิ้มและกล่าวอย่างหมดทางเลือก “ด้วยนิสัยของนาง หากข้าไม่พูดแบบนี้ นางไม่มีวันยอมแพ้”

โครม!!

ประตูหลักที่ยามพึ่งปิดเมื่อครู่ถูกถีบออกอย่างรุนแรง ชูเกอเสี่ยวหยูกลับมา น้ำตายังคงอยู่บนใบหน้า แต่นางไม่ลังเลอีกต่อไป ถ้าอย่างนั้น นางจะใช้ความหัวรั้น , เหลี่ยมจัด และอวดดี นางชี้นิ้วไปที่เย่หวูเฉินและตะโกนเสียงแหบพร่า “เย่หวูเฉิน วันหนึ่ง ข้าจะก้าวข้ามความสำเร็จของบิดาข้าร้อยเท่าหรือแม้แต่พันเท่า เมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะต้องมาขอร้องให้ข้าแต่งงาน ท่านรอดูก็แล้วกัน!!!!”

หลังจากตะโกนเสียงดัง นางวิ่งหนีออกไปอย่างสุดแรงเกิด เสียงฝีเท้าของนางจางหายออกไปจากการได้ยิน

เย่หวูเฉินและหวังเวิ่นชูตะลึงค้าง เสียงตะโกนดังของสตรีบอบบางช่างหนักแน่นและอุทิศตน เย่หวูเฉินดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย ความทุ่มเทของหญิงสาวนางนี้ได้ประทับภาพลึกล้ำในหัวใจของเย่หวูเฉิน ตั้งแต่นี้ไป นางได้เปลี่ยนความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางอย่างสิ้นเชิง ต่อให้วันหน้านางไม่ปรากฎตัวในโลกของเขาอีก เขาจะยังระลึกถึงหญิงสาวคนนี้ ถ้อยคำที่นางกล่าว ความคิดและเสียงตะโกนของนาง

“อืม... ข้าจะรอ” ปากของเขากล่าวคำออกมาเบาๆโดยไม่รู้ตัว หวังเวิ่นชูมองเขาแปลกๆ หลังจากเงียบไปชั่วขณะ นางดึงแขนของเย่หวูเฉิน “เฉินเอ๋อร์ อย่าคิดมากเลย เจ้าต้องไปพรุ่งนี้แล้ว ไปเตรียมของกันเผื่อว่ามีอะไรขาดตกอีก”

ในเวลานี้ ทงซินและหนิงเสวี่ยกำลังเล่นกระบี่ประหลาดอยู่ หนิงเสวี่ยแตะกระบี่สีน้ำเงินที่เย็นเป็นน้ำแข็ง แล้วดึงมือกลับทันทีที่สัมผัสมัน เพลิดเพลินกับความรู้สึกเย็นเยือกขณะสั้นๆ มันคือกระบี่หิมะที่เย่หวูเฉินและทงซินขโมยมาจากคลังสมบัติ



<<<PREV    .    NEXT>>>