วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 136

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 136 ไม่ใช่ทั้งปัญหาใหญ่หรือเล็ก

ก่อนที่เขาจะพบกับทงซิน แผนเดิมของเขาคือพาสองผู้ปกปักษ์ของหลงหยินร่วมทางไปด้วย แต่ตอนนี้เขามีทงซินจึงเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ สิบผู้ปกปักษ์ก็ไม่อาจเทียบกับหนึ่งทงซิน ตราบใดมีทงซินอยู่ข้างกาย ไม่ว่าที่ใดล้วนกลายเป็นที่ปลอดภัย

“ตกลง ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจไปแล้วพวกเราจะไม่กล่าวมากความอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรเจ้าต้องกลับมา ไม่อย่างนั้น...เฮ้อ” เย่เว่ยถอนหายใจ แม้ว่าเย่หวูเฉินแสดงความมั่นอกมั่นใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

“เฉินเอ๋อร์ เจ้าวางแผนออกเดินทางเมื่อไหร่?” เย่หนู่ถาม

“ในตอนเช้าของวันมะรืน”

“ทำไมถึงได้รีบนัก?” หวังเวิ่นชูตกใจ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเลื่อนไปอีกสักสองสามวันไม่ได้เหรอ ข้าจะได้มีเวลาเตรียมตัว?”

“เอาเป็นเช้าวันมะรืนนั่นแหละ หากข้าไปเร็ว ข้าก็กลับมาเร็ว หากเลื่อนออกไปอีกคงไม่ดีนัก” เย่หวูเฉินตอบขณะชื่นชมถ้วยน้ำชาในมือ

หวังเวิ่นชูนั่งลงแล้วกล่าวอย่างหมดทาง “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปเตรียมของให้เจ้า”

“สหายน้อยตระกูลเย่! โผล่หน้าของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”

หวังเวิ่นชูกำลังจะออกไป ก็มีเสียงตะโกนลั่นดังมาถึงห้องโถง ทำให้ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเล็กๆสั่นกราว ผู้เดียวที่แผดเสียงเช่นนี้ได้คือฮั่วเจิ้นเทียน

เพียงไม่นานฮั่วเจิ้นเทียนก็ย่ำเท้าหนักก้าวเข้ามาข้างใน เขาไม่สนใจหวังเวิ่นชู , เย่หนู่และบุตรชาย เมื่อเขามาถึงก็ลากเย่หวูเฉินออกไปข้างนอก “มานี่เลย เจ้าหนูสกปรก บิดามีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับเจ้า!”

“เอ่อ...พ่อตา ข้าเดินเองได้”

ฮั่วเจิ้นเทียนราวกับไม่ได้ยินขณะลากเย่หวูเฉินออกไป ดูเหมือนเขากำลังโกรธจริงๆ

เย่เว่ยรีบขวางฮั่วเจิ้นเทียนแล้วถาม “เฉินเอ๋อร์ของข้าทำอะไรผิดหรือ? เขาทำเรื่องใดที่ขัดเคืองต่อขุนพลฮั่ว?”

“ไร้สาระ! ยังจะมีเรื่องใดที่ทำให้ข้าโมโหได้ขนาดนี้!” ฮั่วเจิ้นเทียนโกรธเป็นควัน เขาชี้ที่เย่หวูเฉินและคำราม “เจ้าหนูสกปรก ข้าได้ยินว่าเจ้าอาสาไปภูเขาไฟเทียนเม่ย... เจ้าเบื่อจะมีชีวิตแล้วใช่มั้ย? นั่นมันใช่ที่สำหรับมนุษย์หรือไง? ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยสนใจชีวิตบัดซบของเจ้า แต่ตอนนี้ทุกคนในเมืองเทียนหลงรู้กันทั่วว่าลูกสาวข้าปฏิเสธเจ้าหนุ่มตระกูลหลินก็เพื่อเจ้า มารดาเจ้าสิ ถ้าเจ้าตายแล้วลูกสาวข้าจะทำยังไง? ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าฮั่วเจิ้นเทียนมีลูกสาวเพียงคนเดียว หากเจ้ากล้าทำให้นางเสียใจละก็...”

เย่หวูเฉินได้ยินประโยคนี้เกินกว่าสิบครั้งแล้ว เขารีบโบกมือแล้วกล่าว “โปรดอย่ามีโทสะท่านพ่อตา เป็นเรื่องจริงที่ข้าเตรียมเดินทางไปยังภูเขาไฟเทียนเม่ย แต่ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆที่ถึงชีวิต... โอ้ ไม่สิ กระทั่งผิวหนังและเส้นผมก็ยังไร้อันตรายใดๆ พ่อตาโปรดสบายใจได้ ฉุ่ยโหรวกับข้ายังไม่ได้แต่งงาน ข้าย่อมไม่รีบด่วนตาย”

“ไร้สาระ มากับข้า เจ้าต้องบอกข้าทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบ” ฮั่วเจิ้นเทียนไม่ปล่อยให้เขาอธิบายต่อ เขาลากเย่หวูเฉินออกจากประตูหลักไป

เย่เว่ยและเย่หนู่ไม่ทราบสมควรหัวเราะหรือร้องไห้ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกสาว ฮั่วเจิ้นเทียนจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวเกินธรรมดา

บ้านตระกูลฮั่ว

ฮั่วเจิ้นเทียนและเย่หวูเฉินนั่งตรงกันข้ามขณะที่ดื่มเหล้า แน่นอนครั้งนี้ใช้ถ้วยใบเล็กลงกว่าเดิม จากบทเรียนครั้งที่แล้ว ฮั่วเจิ้นเทียนไม่กล้าพูดเรื่องดวลสุราต่อหน้าเย่หวูเฉินอีกต่อไป ครั้งนี้ เขาซดสุราคำเล็กกว่าเดิม

“ข้าขอถาม เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เจ้าหนุ่ม? ด้วยสติปัญญาของเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะยอมทำบางอย่างที่ต้องสละชีวิตตัวเอง ยิ่งกว่านั้น เจ้ายังทำเพื่อจักรพรรดิคนที่เกือบสังหารเจ้า... เรื่องนี้น่าแปลกเกินไป แปลกอย่างยิ่ง!” เวลานี้ความโกรธของฮั่วเจิ้นเทียนหายไป น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียด เขาเป็นคนหยาบคายแต่ไม่ใช่คนโง่ ซึ่งในจุดนี้เย่หวูเฉินทราบดี

เย่หวูเฉินยิ้ม เขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เขาซดสุราและสัมผัสความร้อนที่แผ่ซ่านจากลำคอลงไปถึงท้อง หากพูดถึงเรื่องดวลสุรา ระดับเขาคงต้องเรียกว่า ‘ปรมาจารย์’ “ท่านพ่อตา สายตาท่านเฉียบแหลมยิ่งนัก เรื่องนี้มีบางสิ่งที่แปลกจริงๆ...”

“เฉียบแหลมมารดาเจ้าสิ รีบบอกข้ามาเร็ว มันแปลกยังไง?” ฮั่วเจิ้นเทียนกล่าวแล้วยื่นคอเข้าหา เขาอยากรู้ว่าสหายน้อยผู้นี้วางแผนจะทำสิ่งใด

“อภัยให้ข้าที่ต้องเก็บเป็นความลับ แต่ข้าสามารถรับประกันได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใด จักรพรรดิและจักรพรรดินีจะปลอดภัย ข้าเพียงทำเรื่องนี้เพื่อตัวเองเท่านั้น” เย่หวูเฉินกล่าวจริงจัง

ฮั่วเจิ้นเทียนดึงคอกลับแล้วพึมพำ “ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็เบาใจลง ในเมื่อเจ้าทำเรื่องนี้เพื่อตัวเอง เจ้าคงไม่โง่พาตัวเองไปตาย... เอาละ เอาละ เจ้ามีเหตุผลของเจ้า ไม่จำเป็นต้องบอกข้า เอ้านี่! ข้าให้เจ้า”

ฮั่วเจิ้นเทียนล้วงลงไปใต้โต๊ะสามขาแล้วดึงถุงสีดำออกมา จากนั้นโยนไปที่ด้านหน้าเย่หวูเฉิน

กลิ่นเจือจางทำให้เย่หวูเฉินเดาสิ่งที่อยู่ในถุงได้ในทันที เขาเปิดดูข้างในแล้วพบว่ามันเต็มไปด้วยลูกกลมสีดำ เขาสุ่มหยิบขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วกะน้ำหนัก สีหน้าเขาเปลี่ยนเล็กน้อยขณะกล่าว “อัสนีลั่นสะเทือนฟ้า!”

ช่างเป็นถุงอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าขนาดใหญ่ ช่างง่ายดายที่จะหยิบโยน ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลฮั่วของท่านมีคนตาย...

“ถูกต้อง ข้างในนั้นมีอัสนีลั่นสะเทือนฟ้า 50 ลูก นั่นคือทั้งหมดที่ตระกูลฮั่วของข้าผลิตได้ในปีนี้ ด้วยสิ่งนี้ตราบใดที่เจ้าไม่ไปเจอตัวชั่วระดับขอบเขตสวรรค์ เจ้าจะไม่ตายง่ายๆ... โอ้? เจ้ารู้ได้ยังไงว่านั่นคืออัสนีลั่นสะเทือนฟ้า? อ้อ! ข้าเข้าใจล่ะ! ลูกสาวข้าคงบอกเจ้าแล้วสินะ! ไอ๊ เด็กโง่คนนี้ ตั้งแต่มีผู้ชายก็ไม่ยอมเก็บความลับกระทั่งเรื่องอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าของตระกูล”

เสียงบ่นงึมงำของฮั่วเจิ้นเทียนทำให้เย่หวูเฉินยิ้ม เขาถามด้วยความสงสัย “ในหนึ่งปี ท่านสามารถผลิตได้เพียง 50 ลูกเองหรือ?”

“ไร้สาระ เจ้าคิดว่าอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าพวกนี้เป็นขนมหวานหรือยังไง ถึงจะสร้างได้ง่ายๆ? ถ้าหากมันง่าย ข้าคงไม่เรียกมันว่าอัสนีลั่นสะเทือนฟ้า! สร้างเจ้านี่ยากกว่าสร้าง อัสนีลั่น กับ เพลิงพิษ มากนัก” ฮั่วเจิ้นเทียนกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ

เย่หวูเฉินยื่นแขนมีแสงสีดำวาบออกมา ต่อหน้าฮั่วเจิ้นเทียน เขาเก็บอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าไว้ในมิติว่างของแหวนเทพกระบี่ เขากล่าว “ขอบคุณมาก ท่านพ่อตา”

“ขอบคุณอะไร?” ฮั่วเจิ้นเทียนจ้องแล้วพูดดุเดือด “ถ้าเจ้ากล้าเป็นอะไรไประหว่างการเดินทาง ข้าจะทำสุสานไว้ในห้องของข้า แล้วข้าจะชี้หน้าด่าเจ้าวันละสามร้อยครั้ง เจ้าได้ยินหรือไม่!?”

ฮั่วฉุ่ยโหรวถือถาดอาหารและพึ่งมาถึง นางได้ยินเสียงตะโกนลั่นของบิดาจนตกใจกลัว ถาดอาหารเกือบร่วงจากมือนาง เย่หวูเฉินรีบเข้าไปหานางทันที “มา ให้ข้าช่วย”

ฮั่วฉุ่ยโหรวแม้อ่อนโยนแต่ก็เด็ดขาด นางกล่าวเสียงเบา “เรื่องแบบนี้ จะให้สามีทำได้อย่างไร?”

“อะไรนะ? สามี?” ประสาทหูของฮั่วเจิ้นเทียนนับว่าเฉียบขาด ขนาดนางกล่าวเสียงแผ่วและอยู่ไกลเขายังได้ยินชัดเจน เขาพรวดลุกขึ้นยืนแล้วคำราม “สหายน้อย เจ้าได้ยินแล้วใช่มั้ย? นางเรียกเจ้าว่าสามี ถ้าเจ้ากล้าทำให้ลูกสาวข้าเป็นม่ายละก็...”

เย่หวูเฉินโบกมือโดยพลัน “ท่านพ่อตา ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าไม่มีทางทำให้ลูกสาวท่านเสียใจอย่างแน่นอน”

ฮั่วฉุ่ยโหรวรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง นางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อ เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่า...”

“ฮึ่ม เจ้าถามสหายน้อยเอาเอง” ฮั่วเจิ้นเทียนพลันตระหนักว่าตัวเองเกือบหลุดปากพูดทุกสิ่งออกไป เขาไม่อยากโกหก ดังนั้นเขาจึงโยนให้เย่หวูเฉิน

เย่หวูเฉินยิ้ม “ไม่มีอะไร จักรพรรดิมอบหมายภารกิจบางอย่างให้ข้าทำ แม้จะเป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่ระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียว เดินทางไปกลับสมควรใช้เวลาสองเดือน พ่อตากลัวว่าเสี่ยวโหรวโหรวของข้าจะผ่ายผอมเพราะคิดถึงข้า ดังนั้นเขาจึงอารมณ์เสีย”

ฮั่วเจิ้นเทียนขนลุกไปทั่วร่าง เขายกคอซดสุราลงไปอีกถ้วยเล็ก รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“สองเดือน? เหตุใดจึงนานนัก...” ฮั่วฉุ่ยโหรวลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นดึงเสื้อของเขา กล่าวอย่างรู้สึกผิด “ท่านจะ...ใช้เวลาสั้นลงได้ไหม?”

“อืม ข้าจะรีบจบภารกิจนี้ให้เร็วที่สุด แล้วจะเดินทางตลอดวันตลอดคืนกลับมา ข้าจะทนคิดถึงเสี่ยวโหรวโหรวของข้าได้อย่างไร?”

ฮั่วเจิ้นเทียนขนลุกทั่วร่างอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นอย่างขุ่นเคืองแล้วไล่พวกเขา “ไป ไป ไป... พวกเจ้าทั้งสองคน ออกไปหาที่อื่นคุยกัน อย่าอยู่ที่นี่ ฟังพวกเจ้าคุยกันแล้วข้ารู้สึกขนลุก”

...............................

หากสตรีใดเชื่องเชื่อ นางย่อมไม่สร้างความยากลำบากแก่คู่ครอง ฮั่วฉุ่ยโหรวคือสตรีประเภทนั้น เมื่อนางได้มอบหัวใจให้ชายใด นางจะไม่มีวันแปรพักตร์ เวลานี้ต่อให้เย่หวูเฉินทุบตีหรือดุด่านาง นางก็จะเชื่อฟังและไม่มีวันคิดทรยศ สตรีเช่นนี้จะไม่เด่นล้ำหรือต่ำตม นางจะเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ

หลังจากคลอเคลียอยู่กับฮั่วฉุ่ยโหรวตลอดบ่าย ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้ากลับตระกูล เมื่อก้าวผ่านประตูหลักเข้ามา เขาได้กลิ่นไม่ปกติทันที ความรู้สึกนี้บอกเขาว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน... แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เช่นกัน และไม่ใช่ทั้งปัญหาใหญ่หรือเล็ก

อันที่จริง เมื่อเขาก้าวเข้ามาในสวนของตน ‘ปัญหา’ ที่ว่านั้นก็ออกมาจากห้องโถง เป็นชูเกอเสี่ยวหยูที่แข็งขันและมั่นใจ เย่หวูเฉินเริ่มปวดหัว ตั้งแต่เมื่อวานที่โชคร้ายเจอกับชูเกอเสี่ยวหยู เขาก็ล่วงรู้อนาคตว่านางจะต้องมาเขาด้วยตนเอง

“ฮี่ ฮี่! ท่านไปไหนมา? ข้ารอท่านอยู่ตั้งนาน” ชูเกอเสี่ยวหยูวิ่งราวกระต่ายมาอยู่ด้านข้างเย่หวูเฉินอย่างมีชีวิตชีวา แขนทั้งสองกอดแขนขวาของเขาเอาไว้ ด้วยกลัวว่าเขาจะหนีไป เย่หวูเฉินพยายามดิ้นรนออกมาแต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงหมดหวัง “คุณหนูชูเกอ ชายหนุ่มและหญิงสาวไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน หากมีใครมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ ก่อนที่เจ้าจะกล่าวสิ่งใด ช่วยปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?”

“ฮึ่ม ไม่ได้ คนอื่นจะมองท่านกับข้าอย่างไรข้าไม่สนใจ และท่านก็ลืมอีกแล้ว ท่านต้องเรียกข้าว่าเสี่ยวหยู!” ชูเกอเสี่ยวหยูบุ้ยปาก ท่าทางเช่นนี้... ราวกับว่านางถือว่าเขาเป็นของนางแล้วเรียบร้อย

“ตกลง คุณหนูเสี่ยวหยู เจ้ามาตั้งไกลมีสิ่งใดให้ข้าช่วย? โอ้ ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว หญิงสาวอย่างเจ้าอยู่บ้านคนอื่นในเวลาค่ำมืดแบบนี้ บิดามารดาเจ้าย่อมเป็นห่วง หากไม่มีธุระเร่งด่วนอันใด พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ หรือไม่ก็วันมะรืน?” เย่หวูเฉินถามอย่างเป็นห่วง

“ข้าไม่อยากกลับ บิดามารดาไม่ต้องการให้ข้ากลับบ้าน” นางรวบแขนของเย่หวูเฉินอย่างเอียงอายแล้วกล่าว “ข้ามาวันนี้เพื่อถามท่านว่า เมื่อไหร่ท่านจะแต่งงานกับข้า?”

ดวงตากลิ้งไหวและสีหน้าที่ ‘เอียงอาย’ ราวกับเสแสร้ง... เย่หวูเฉินกล่าวเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ “น้องหญิงเสี่ยวหยู ข้าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะแต่งงานกับเจ้า?”



<<<PREV    .    NEXT>>>