วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 142

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 142 เล่งหยา หมาป่าเดียวดาย

“พวกท่านเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า?” หลงหยินเอ่ยเสียงเบา ไม่ว่าเขาจะปกปิดสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงสั่นเครือของเขาได้

สามผู้ปกปักษ์ต่างส่ายศีรษะ “ไม่เลย”

อาวุโสหลี่กดระงับน้ำเสียงหวาดกลัวของตนแล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่เพียงไร้เงาเท่านั้น กระทั่งพวกเราสามคนแผ่จิตสัมผัสยังไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนแปลกปลอม พวกเราไม่อาจระบุสาเหตุการตายน่าสยดสยองขององค์ชายสาม แต่ว่า... ที่อาจเป็นไปได้คือองค์ชายสามถูกฝังบางสิ่งที่คล้ายอัสนีลั่นไว้ในร่างกาย”

“แล้วกระดาษแผ่นนี้ล่ะ? อย่าบอกข้านะว่ามันตกลงมาเองจากหลังคา” หลงหยินจับชิ้นกระดาษไว้แน่นพร้อมกัดฟัน

“เรื่องนี้...”

ในใจหลงหยินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ใครที่สามารถทำเช่นนี้ได้ภายใต้จมูกของผู้ปกปักษ์ทั้งสาม มันย่อมสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย... หรือว่านี่จะเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์จริงๆ?

หากมีเพียงหนึ่งในสามผู้ปกปักษ์อยู่ที่นี่ เขาย่อมเกิดความสงสัย แต่พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย ยังไม่กล่าวถึงความภักดีของพวกเขาถึงสามชั่วรุ่น หากพวกเขาคิดทรยศตระกูลหลงจริงๆ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเช่นนี้

“ฝ่าบาท ข้อความบนกระดาษนั้นเขียนว่าอย่างไร? ยิ่งกว่านั้น เหตุใดท่านถึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ?” หนึ่งในสามชายชราเอ่ยขึ้น

“ข้ามีเหตุผลของข้าเอง อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก” หลงหยินโบกมือ ก้าวเท้าหนักออกไป หัวใจหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินหนักนับพัน เขารู้สึกราวกับเห็นดวงตาปีศาจจ้องมองเขาอย่างเลือดเย็นอยู่ในมุมมืด พร้อมที่จะพรากชีวิตเขาทุกเวลา สำหรับจักรพรรดิอย่างเขา ผู้ที่คิดถึงความปลอดภัยของตนเองมากกว่าสิ่งใด เขาจะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนับแต่นี้ไป

เขาทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สามผู้ปกปักษ์รู้เรื่องตระกูลเย่ ไม่ต้องการให้พวกเขาทราบเนื้อหาในชิ้นกระดาษ พวกเขาสามคนคือผู้ภักดีที่สุด และพวกเขาต่างยกย่องความภักดีของกันและกัน หากพวกเขาทราบว่าหลงหยินวางแผนทำร้ายบุตรชายตระกูลเย่ถึงสองครั้ง พวกเขาจะตอบสนองอย่างไร? กระทั่งเรื่องการจ้างมือสังหารเถาไปไป เขายังลอบสั่งตระกูลหลินให้เป็นผู้จัดการ

“ทัณฑ์... ทัณฑ์จากสวรรค์ หรือว่าข้าทำบางอย่างผิดไป?” หลงหยินเพียงนั่งลงด้วยชุดชุ่มเลือด พึมพำอย่างเหม่อลอย

เพียงไม่นาน ราชวังได้ประกาศข่าวการตายขององค์ชายสาม กลุ่มขันทีและราชองครักษ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ถูกเปลี่ยน ไม่มีใครทราบว่าคนกลุ่มนี้หายไปไหน ผู้คนจำนวนมากเริ่มพบว่ามีบางสิ่งแปลกๆเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากวิจารณ์

ภายใต้แสงตะวัน หมอกหนาได้สลายไป ม้าแดงย่างเท้าไม่เร่งรีบไปทางตะวันออก บนหลังม้ามีเพียงเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ยสองคน

ทันใดนั้น มีเงาสีดำพุ่งมาจากข้างหลังรวดเร็วราวสายฟ้า เงานั้นเขามากอดร่างของเย่หวูเฉินจากด้านหลัง

“เรียบร้อยรึเปล่า?” เย่หวูเฉินไม่หันไปมอง เขาเพียงแค่ยิ้มเพราะรู้ว่าสตรีด้านหลังคือใคร

ทงซินพยักหน้า เผยรอยยิ้มบนใบหน้าที่เย่หวูเฉินไม่อาจมองเห็น

“อืม ดีมาก ถ้าอย่างนั้นพวกเราเริ่มออกเดินทางกันเถอะ”

เย่หวูเฉินหวดแส้ม้าและมันยกเท้าขึ้น ม้าแดงควบวิ่งออกไปทิ้งฝุ่นไว้เบื้องหลัง

แม้ว่าม้าจะรวดเร็ว แต่ก็ต่างจากความเร็วของเย่หวูเฉินเพียงเล็กน้อย และยิ่งไม่อาจเทียบกับทงซิน เย่หวูเฉินยิ้มและมองตรงไปข้างหน้า ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในใจ หลงหยินพยายามทำร้ายบุตรชายตระกูลเย่สองครั้ง ครั้งแรกเขาทำสำเร็จ ครั้งที่สองล้มเหลว และเย่หวูเฉินแก้แค้นโดยลงมือกับบุตรชายของเขา ความแตกต่างกันก็คือ วิธีของเขาโหดเหี้ยมเลือดสาดยิ่งกว่า ให้หลงหยินมองดูร่างบุตรชายที่เขาโปรดปรานระเบิดต่อหน้าต่อตา ทั้งไม่ปล่อยให้เขารู้สาเหตุของการตาย นี่ย่อมทำให้เขาไม่อาจกินอยู่อย่างมีความสุข ความกลัวที่ฝังในใจย่อมไม่อาจลบเลือน

ทางตอนใต้และตอนเหนือของอาณาจักรเทียนหลงเป็นสองโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในทางตอนเหนือเหล่าตระกูลและขุนนางไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ผู้บ่มเพาะพลังเพื่อป้องกันตัวจึงมีจำนวนน้อย ขณะที่สัตว์อสูรทุกประเภทสามารถพบได้ทุกที่ในทางตอนใต้ จึงมีตระกูลน้อยใหญ่ที่บ่มเพาะพลังกระจายอยู่ทั่วดินแดน กล่าวได้ว่าแทบทุกคนบ่มเพาะพลังยุทธหรือพลังเวทย์ ดินแดนทางใต้จึงนับว่าเป็นโลกของผู้ฝึกฝนวิชา เย่หวูเฉินเยียดร่างอย่างเกียจคร้าน ปลุกหนิงเสวี่ยที่ยังไม่หลับลึกบนอกของตน นางขยี้ตางัวเงียแล้วถาม “ท่านพี่ ตอนนี้พวกเราอยู่ไหนเหรอ?”

“ข้าไม่รู้... แต่ข้าไม่ยอมให้ตัวเองและเสวี่ยเอ๋อร์หลงทาง ม้าตัวนี้ค่อนข้างช้า ไม่รู้ว่าทางใต้จะมีสัตว์อสูรแข็งแกร่งบ้างหรือเปล่า? จะได้จับมาฝึกให้เชื่องเพื่อพวกเราจะได้ขี่ ต้องสนุกแน่ๆ”  เย่หวูเฉินหัวเราะ เขามักจะถามเย่ซีและเย่บาเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปในทวีปเทียนเฉิน แม้ว่าสัตว์อสูรทั่วไปจะเป็นศัตรูกับมนุษย์ แต่ย่อมมีบางตัวที่สามารถฝึกให้เชื่องและควบคุมได้

ขณะที่เย่หวูเฉินออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ เล่งยาก็เดินทางไปถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของตนเองด้วยเช่นกัน

ตลอดคืนเขาไม่นอน แต่ดวงตายังคงคมกล้าราวกับคมมีด ร่างของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างและหยดเหงื่อ ลมหายใจอ่อนล้าเพียงเล็กน้อย จากแผนที่ที่เย่หวูเฉินวาดให้ ในที่สุดเขาก็มาถึงยังดินแดนที่ถูกลืม ตอนที่เย่หวูเฉินเริ่มออกเดินทางกับหลงเจิ้งหยางเพื่อไปยังเมืองเทียนหลง พวกเขาใช้เวลาครึ่งเดือน ส่วนเล่งหยาใช้เวลาเพียงเจ็ดวันจากเมืองเทียนหลงมาถึงที่นี่ เขาเป็นชายที่หยิ่งยโสและทุ่มเท เมื่อไร้ความกังและมีเพียงหนึ่งเป้าหมาย ผลลัพธ์จึงเป็นความเร็วสูงสุด เขาเดินทางตลอดวันตลอดคืน เพียงหยุดพักฟื้นพลังเมื่อรู้สึกเหนื่อย

สายตาของเขาจ้องติดที่ชายชราที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ชายชราผู้นี้นั่งอยู่บนตอไม้เก่าด้วยดวงตาที่ปิดครึ่งหนึ่ง ทั่วร่างไร้กลิ่นอายของพลังใดๆ ราวกับต้นไม้โบราณไร้ชีวิต

“ท่านคือฉู่ชางหมิง!” เล่งหยาตะโกนชื่อเขาด้วยน้ำเสียงดุร้าย ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากชายชราผู้นี้เหมือนกับเทพบิดาของเขา

ชายชราไม่หันมามอง เขาเพียงค่อยๆลืมตาขึ้น “ใครส่งเจ้ามาที่นี่?”

น้ำเสียงชราถูกกล่าวออก แน่นอนว่าเป็นเพียงเสียง แต่เสียงนั้นลึกล้ำราวกับหลายหลืบชั้นรวมกัน เขาทำตามคำของเย่หวูเฉินแล้วกล่าวออกไป “เย่หวูเฉินส่งข้ามาที่นี่ เขาบอกว่าท่านจะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น”

ชายชราหันร่างมา ดวงตาขุ่นมัวของเขามองที่ดวงตาเย็นเยียบของเล่งหยา “เจ้าอยากเป็นหมาป่าเดียวดาย หรือพญาเหยี่ยวเหนือ?”

หมาป่าเดียวดายคือผู้ปกปักษ์คนที่เขาต้องการปกป้อง ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว เขาจะใช้คมเขี้ยวฉีกร่างอุปสรรค พญาเหยี่ยวเหนือเพียงเหยียดหยามคนธรรมดา มีชีวิตโดดเดี่ยวใช้กรงเล็บฉีกร่างหมู่มารที่ปรากฎในสายตา

“หมาป่าเดียวดาย!” เล่งหยากัดฟันตอบด้วยถ้อยคำเยียบเย็น

ชายชราหันร่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วตะโกน “ต้าหนิว”

ในยามนี้ ท้องฟ้ายังคงมืดดำ เพียงเริ่มมีแสงสัญญาณของรุ่งอรุณ แต่ฉู่จิงเทียนตื่นมาฝึกกระบี่นานแล้ว เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขากลับมาพร้อมร่างที่มีเหงื่อโทรม ก่อนเขาจะได้กล่าวคำ เขาเห็นเล่งหยาแล้วเบิกตาจ้อง “น้องชายผู้นี้ เจ้ามาจากที่ไหน? สถานที่ห่างไกลเพียงนี้คนธรรมดาไม่อาจหาเจอได้ง่ายๆ”

“ในเมื่อเจ้าต้องการกลายเป็นหมาป่าเดียวดาย ฉะนั้น จงฆ่าเขาซะ”  ชายชราชี้นิ้วไปที่ฉู่จิงเทียนแล้วตะโกนเสียงดังใส่เล่งหยา

ฉู่จิงเทียนอ้าปากกว้าง คิดว่าหูของตนคงมีปัญหาบางอย่าง แต่วินาทีถัดมา สายลมเย็นเยือกได้พัดใส่เขา กระบี่สั้นสีเขียวมรกตกระชับอยู่ในมือของเล่งหยา

“กระบี่คร่าสายลม!?” ชายชราสีหน้าเปลี่ยนทันที

ชิ้ง!

เสียงโลหะกระทบ เมื่อกระบี่คร่าสายลมของเล่งหยาปะทะกับกระบี่ชางหมิงของฉู่จิงเทียน ฉู่จิงเทียนแม้เจอการโจมตีฉับพลันแต่รับมือได้โดยไร้ความลังเล จิตสังหารรุนแรงของเล่งหยาไม่ถดถอย ฉู่จิงเทียนตระหนักทันทีว่าเจ้าคนพูดน้อยผู้นี้ต้องการชีวิตของเขาจริงๆ หลังจากปัดป้องกระบี่คร่าสายลม เขาตะโกนร้องแล้วปล่อยรังสีแสงสีฟ้าพุ่งออกมาจากกระบี่ชางหมิง พลังเกรียงไกรของกระบี่ทำให้อากาศที่ปั่นป่วนโดยรอบหยุดนิ่งลงทันที คลื่นพลังเข้าปะทะร่างของเล่งหยา ตามด้วยแรงสั่นสะท้านที่แขนของเขา เขาครางเสียงต่ำแล้วพลิกร่างปลิวไป ขณะเดียวกันกระบี่คร่าสายลมก็หลุดออกจากมือ ปลิวลงปักอยู่บนพื้นดิน

เล่งหยาหันกายมา ยืนขึ้นและลดสายตาลง รอบแรกเขาพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวด เขารู้ชัดเจนดีว่าตนไม่อาจเป็นคู่มือของฝ่ายตรงข้าม ชายผู้นี้แม้ดูไร้พิษภัย ร่างใหญ่โตกำยำอายุพอๆกับตน แต่พลังของเขากลับแกร่งกล้ายิ่งกว่าหลินเสี่ยวหรือเย่หวูเฉิน

ฉู่จิงเทียนปาดเหงื่อเย็นที่พรั่งพรูจากจิตสังหารของเล่งหยา เขากล่าวขณะยังกลัว “ข้ากลัวแทบตาย ข้านึกว่าจะต้องตายจริงๆแล้ว...” เขามองที่ชายชรา ลูบศีรษะแล้วพูดเสียงเศร้า “ข้าเคยบอกแล้วท่านปู่ ข้าทำตามคำสั่งท่านเกือบทุกอย่าง ท่านไม่จำเป็นต้องทำให้ข้ากลัวแบบนี้”

ชายชราไม่ตอบคำแต่ยื่นแขนขวาออก กระบี่คร่าสายลมที่ปักอยู่บนพื้นเปล่งแสงสีเขียวและบินมาหามือเขา ฉู่จิงเทียนอุทานอีกครั้ง “เป็นกระบี่ที่ยอดนัก! ดีที่ข้าไม่เสียกระบี่ชางหมิงไปเพราะใส่พลังไว้ข้างใน โอ้ น้องชาย กระบี่สั้นเล่มนี้มีชื่อว่าอะไร?”

ฉู่จิงเทียนนั้นมีความสามารถ , ใจดี และร่างสูงใหญ่ ในพริบตาเขาลืมไปแล้วว่าเล่งหยาคิดจะฆ่าเขา และเขายังทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรี

เล่งหยาแค่นเสียงเย็นชาและไม่ตอบคำ

“ยี่สิบปีก่อน ฟงเฉาหยางผู้ที่สาบานว่าจะไม่แต่งงาน ได้ติดกับแผนร้ายของเสวี่ยหนี่ เขาต้องทรมานเพราะถูกพิษกำหนัดที่ประหลาดที่สุดในทวีปเทียนเฉิน เขาหมดทางเลือกและจำต้องฉุดคร่าสตรีชาวเทียนหลง เจ้าสมควรเป็นบุตรของพวกเขา” ชายชรามองกระบี่คร่าสายลมในมือแล้วกล่าวเรียบเรื่อย

เล่งหยา “.........”

“กระบี่คร่าสายลมเล่มนี้คือหนึ่งในสามศาสตราอัศจรรย์ของโลก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดมันจึงถูกเรียกว่ากระบี่คร่าสายลม?”

เล่งหยา “.........”

ชายชราขยับมือซีดขาวของเขาตวัดกระบี่คร่าสายลมผ่านอากาศเพียงบางเบา

ฟิ้ว~~

การตวัดกระบี่ของเขาเพียงแผ่วเบากลับคล้ายจะตัดอากาศแหวกออก เกิดเสียงกรีดกระชากโสตประสาท ตามด้วยเสียงดังสนั่น ห่างออกไปสามสิบเมตรต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกตัดครึ่ง จากนั้นมันล้มลงบนพื้นดิน ผิวที่ถูกตัดราบเรียบราวกระจก คล้ายถูกตัดด้วยกระบี่ที่คมกล้าอย่างยิ่ง

สีหน้าของเล่งหยาเปลี่ยนไปทันที ฉู่จิงเทียนเองก็เบิกตากว้าง เขาแทบตะโกนออกมา

“ตราบใดที่มีพลังเพียงพอ กระบี่คร่าสายลมสามารถพรากชีวิตผู้คนได้ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร กระทั่งสายลมยังถูกตัดโดยง่าย แต่กระบี่ล้ำค่านี้ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในมือเจ้า เจ้าไม่คู่ควรที่จะใช้มัน”



<<<PREV    .    NEXT>>>