วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 150

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 150 ความโกรธของทงซิน , ทำลายค่ายกล

“เวลาข้าพูด อย่าขัดจังหวะข้า” เย่หวูเฉินหยุดนางอย่างเย็นชา เมื่อครู่ที่นางขัดขืนดิ้นรนเกือบทำให้เขาต้องจบชีวิต หากหมาป่าวายุโลหิตเคลื่อนกรงเล็บลงไปอีกเพียงไม่กี่นิ้ว ส่วนที่ถูกกระทบจะไม่ใช่ไหล่แต่จะเป็นหัวใจแทน เขาจะไม่ฉุนเฉียวได้อย่างไร? “ท่านคิดว่าร่างกายของตนสูงส่งล้ำค่า ไม่อาจถูกแตะสัมผัสโดยผู้ใด ข้าจะบอกให้ ไม่เฉพาะร่างกายกระทั่งใบหน้าท่านข้าก็ไม่สนใจ ไม่อย่างนั้นข้ามีนับร้อยวิธีคงดูใบหน้าท่านไปแล้ว ต่อให้ข้าข่มขืนย่ำยี ท่านจะทำอะไรข้าได้?! ในใจข้า น้องสาวและว่าที่ภรรยาดีกว่าท่านนับพันเท่า อย่าได้คิดทะนงตนเกินไปนัก เฮอะ!”

เย่หวูเฉินแค่นเสียงเย็นชาแล้วปล่อยมือออก เมิ่งจื่อจ้องมองตะลึงค้าง ขณะกำลังจะด่ากลับด้วยความโกรธ นางรู้สึกเจ็บที่เท้าและเมื่อไม่มีมือดันนางจึงล้มลงกับพื้น นางพิงร่างกับต้นไม้และไม่อาจลุกขึ้นยืน เท้าขวาของนางมีสามรอยแผลลึกยาวประมาณ 20 เซนฯ เลือดไหลออกมานองบนพื้น

เย่หวูเฉินถอนหายใจอ่อน ย่อตัวลงจับเท้าขวาของนางแล้วค่อยๆถอดรองเท้าออก เมิ่งจื่อตัวแข็งทื่อไปทั่งร่าง ความคิดนางสับสนและกล่าวอย่างตระหนก “เจ้าจะทำอะไร? ปล่อยข้านะ ปล่อย!”

เย่หวูเฉินไม่เงยศีรษะขึ้น กลับขมวดคิ้วและตวาดใส่ “อย่าขยับ!!”

โดยไม่ทันตั้งตัว เมิ่งจื่อตัวสั่นด้วยเสียงตวาดลั่น ตระหนกจนไม่อาจกล่าวคำ นางมองที่เขาขณะกำลังถอดถุงเท้าชุ่มเลือดของนาง เลิกกระโปรงนางขึ้น เผยสามรอยแผลยาวที่ลึกเกือบถึงกระดูก ตอนนี้นางไม่เพียงรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ยังรู้สึกถึงมือสัมผัสที่ถือเท้าบางราวกับหยกเงาใสต่อหน้าสายตาเขา

ระลอกน้ำเริ่มพร่างในดวงตาของเมิ่งจื่อ หัวใจนางสับสนอย่างไม่เคยเป็น ครั้งนี้นางไม่ได้เอ่ยคำปฏิเสธหรือดิ้นรนขัดขืน บางทีนางอาจหมดเรี่ยวแรง บางทีนางอาจกลัว หรือบางทีนางสับสนว่าสมควรทำอย่างไร

เย่หวูเฉินใช้ผงยาสามชนิดที่นำมาจากบ้านโรยใส่แผล เขาโปรยอย่างแม่นยำด้วยปริมาณที่พอเหมาะ ต่อหน้าเมิ่งจื่อเขาไม่อาจใช้พลังของตนได้

“...ข้าขอโทษ คำพูดข้าเมื่อครู่อาจรุนแรงไปบ้าง แต่ท่านดื้อรั้นเกินไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา พวกเราเกือบจบสิ้นชีวิตของตน ข้ากลัวตาย ข้าไม่อยากตาย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงโกรธมาก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ท่านย่อมมีเหตุผลของตัวเอง” เย่หวูเฉินใช้ผ้าพันรอบแผล น้ำเสียงของเขานุ่มนวลขึ้น

เมิ่งจื่อจ้องมองอย่างว่างเปล่ากับการแสดงความอ่อนโยนของเขา นางไม่ได้กล่าวคำใดๆเป็นเวลานาน

“ในเมื่อท่านกลัว เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่หนีไป? ตรงกันข้าม ท่านกลับเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยข้า” หลังจากเงียบเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เอ่ยปาก

“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าท่านเหมือนลูกแมวหรือลูกสุนัขที่ข้าเก็บได้จากข้างทาง ตราบใดที่ท่านเป็นพวกพ้องข้า ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง จะบุรุษหรือสตรี จะดีหรือเลว ดื้อรั้นหรือเชื่อฟัง ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ท่านตายต่อหน้า”

เย่หวูเฉินพันแผลเสร็จ จากนั้นดึงถุงเท้าออกมาจากบางแห่งแล้วสวมใส่เท้านางให้ทีละนิด “นี่คือถุงเท้าของหนิงเสวี่ย มันยืดหยุ่นมากและจะไม่ทำให้ท่านรู้สึกอึดอัด”

เย่หวูเฉินอดไม่ได้และต้องยอมรับว่าเท้าของนางงามมาก ได้ถือไว้ในมือเหมือนได้จับหยกนุ่ม

สายตาของเมิ่งจื่อเฉื่อยชา ราวกับนางสูญเสียวิญญาณ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีผู้ชายสวมถุงเท้าให้นาง ยิ่งกว่านั้น ชายผู้นี้ยังรู้จักนางได้เพียงไม่กี่วัน

“ท่านควรบอกข้าว่ามีสิ่งใดที่ปิดบังซ่อนเร้นในตัวท่าน ถึงขนาดไม่ยอมให้ผู้ใดสัมผัสตัวจนเกือบจบสิ้นชีวิตตนเองเมื่อครู่ที่ผ่านมา สตรีที่หวงเนื้อตัวเกินธรรมดานั้นมีอยู่มาก แต่ข้าไม่เคยเห็นใครหวงตัวยิ่งยวดเท่ากับท่านมาก่อน ถึงขนาดนี้แล้ว เหตุใดท่านจึงยังออกจากบ้าน? อาศัยอยู่ในที่ของตนจะไม่ดีกว่าหรือ” เย่หวูเฉินช่วยนางสวมรองเท้า เขากล่าวออกมาราวไม่ต้องคิด

“ท่านไม่มีวันเข้าใจ...” เมิ่งจื่อกัดริมฝีปาก ในที่สุดนางกล่าว “นี่คือกฎของตระกูลข้า สตรีต้องถือความบริสุทธิ์สำคัญยิ่งกว่าชีวิตตน ก่อนพวกนางจะแต่งงาน กระทั่งว่าที่สามีก็ไม่อาจแตะต้องร่างกาย”

“ความตายคือเรื่องเล็ก แต่เสียเกียรติคือเรื่องใหญ่ สำหรับสตรีจำนวนมากความบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตน เพียงแตะเนื้อต้องตัวไม่ได้หมายความว่าท่านจะเสียความบริสุทธิ์ เมื่อครู่ท่านจะขัดขืนไปทำไม?”

บาดแผลไม่ได้เจ็บปวดอีกต่อไป นางพิงร่างกับต้นไม้ด้านหลังขณะยืนขึ้น นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าว “กฎของตระกูลพวกเรา ท่านไม่มีวันเข้าใจ”

เย่หวูเฉินหมดทางเลือกจึงเลิกคิ้วขึ้นและกล่าว “ได้ ท่านจะบอกว่าในตระกูลของท่าน หากชายใดแตะต้องร่างท่านจะถือว่าท่านเสียความบริสุทธิ์ใช่หรือไม่? แต่เมื่อครู่นี้ท่านไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน หรือว่าท่านได้ยอมรับและคิดอุทิศตัวให้ข้าแล้ว?”

เมิ่งจื่อลอบมองแล้วหลบสายตา นางกล่าวเสียงเบาแต่ชัดเจน “วันนี้ข้าจะถือว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่หากในวันหน้า....ข้าจะฆ่าท่าน”

เย่หวูเฉินหัวเราะไม่ใส่ใจ ไม่ได้เอ่ยถามชื่อตระกูลของนาง

แหมะ

หยดโลหิตไหลมาถึงนิ้วเย่หวูเฉินแล้วหยดลงพื้นถูกใบไม้แห้ง เมิ่งจื่อพลันสังเกตเห็นไหล่ซ้ายของเขาที่กลายเป็นสีแดง มองจากด้านข้างตรงจุดที่เสื้อขาดแผลของเขาเลวร้ายนัก เลวร้ายยิ่งกว่าบาดแผลที่เท้านาง หัวใจนางบีบรัดโดยไร้เหตุผล นางอุทานโดยไม่รู้ตัว “ท่านบาดเจ็บ!”

เมิ่งจื่อพลันตระหนักว่าเขาบาดเจ็บยิ่งกว่าขณะที่ช่วยเหลือชีวิตนางเมื่อครู่ เขากลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้และทำแผลให้นาง

เย่หวูเฉินมองแผลบนไหล่อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นนำขวดยาออกมา เทใส่ฝ่ามือแล้วกดลงบนไหล่ นั่นย่อมเจ็บปวดมากจนเมิ่งจื่อปวดใจเล็กน้อย แต่สีหน้าของเย่หวูเฉินยังสงบไร้ระลอกเปลี่ยนแปลง เขามองที่เมิ่งจื่อแล้วกล่าว “ข้าจะถอดชุดเพื่อพันแผล ท่านอยากดูหรือ?”

เมิ่งจื่อถอยไปเล็กน้อย พยุงกายกับต้นไม้แล้วหันร่างไป

เย่หวูเฉินถอดชุดออก จากนั้นเคลื่อนพลังหวูเฉินบนไหล่ซ้ายรักษาแผลอย่างรวดเร็ว แผลโชกเลือดแทบหายขาดในทันที เขานำผ้าพันแผลออกมาแล้วพันบนไหล่ จากนั้นสวมชุดกลับ บาดแผลเพียงเท่านี้สำหรับเขาไม่นับเป็นสิ่งใด เขาทำเป็นแสร้งแสดงต่อหน้าเมิ่งจื่อ ในระหว่างหลายวันมานี้ เมิ่งจื่อก็แสร้งแสดงต่อหน้าเขาเช่นกัน แต่การแสดงของนางอ่อนหัดอย่างเห็นได้ชัด มีความผิดพลาดอยู่มากมาย

ในอีกฟากหนึ่ง

ขณะที่เย่หวูเฉินไม่อาจหาหนิงเสวี่ยหรือทงซิน หนิงเสวี่ยและทงซินก็พลัดหลงกับเขาเช่นกัน หนิงเสวี่ยแทบจะร้องไห้ด้วยความกังวล นางตะโกนเรียกเขาสุดเสียง ทงซินสัมผัสสิ่งแปลกๆได้ในพื้นที่บริเวณนี้ ดังนั้นนางจึงจับมือหนิงเสวี่ยไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย สาวน้อยสองคนวิ่งวนไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย

เพียงไม่นาน ทงซินก็ตรวจจับกลิ่นอายที่เย่หวูเฉินจงใจแผ่ออกมาได้ นางลากหนิงเสวี่ยไล่ตามไปยังทิศทางนั้น แต่ทิศทางที่มีกลิ่นอายเขา ยิ่งมุ่งเข้าหาระยะทางกลับยิ่งห่างไกล ทงซินกับหนิงเสวี่ยวิ่งวนเป็นวงรอบ แต่ไม่อาจกำหนดตำแหน่งของเขาที่แน่นอนได้

ความกังวลของทงซินถึงจุดเลยขีดความอดทน นางปล่อยมือของหนิงเสวี่ยแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่หนิงเสวี่ยอุทานร้องอย่างตกใจ

เสียงสะท้อนของม่านพลังไร้ต้านแตกออกราวกับฟองอากาศ มันถูกทะลวงผ่านอย่างง่ายดายโดยทงซิน ทงซินลอยตัวอยู่สูง ดวงตาคู่ดำทมิฬราวปีศาจที่หมายกลืนกินบุคคล นางมองสำรวจทุกซอกส่วน ณ เบื้องล่าง จากนั้นโบกมือไปยังอากาศว่างที่อยู่ใต้นาง

เปรี๊ยะ!

ด้วยการเคลื่อนไหวธรรมดาของนาง ป่าทั้งหมดรวมทั้งสนามพลังเบื้องบนแตกออกราวกระจก ไร้สิ่งใดหลงเหลืออยู่รอด...

ตระกูลชั้นสูงซีเหมิน ในห้องลับส่วนบุคคล บุรุษชราสี่คนกระอักโลหิตคำโตออกมา พวกเขาตื่นขึ้นพร้อมกันและต่างมองหน้า สีหน้าพวกเขาตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

“นายน้อย! แย่แล้ว... ค่ายกลพันเวทย์ถูก... ถูกทำลายลงแล้ว!” ศิษย์แห่งซีเหมินเร่งรีบเข้ามาและตะโกนอย่างแตกตื่น

“ข้ารู้แล้ว” ชายหนุ่มสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านพ่อและท่านแม่ยังไม่กลับมา ผู้อาวุโสทั้งสี่สมควรบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากค่ายกลพันเวทย์ถูกทำลาย เป็นบุคคลประเภทใดกันแน่ที่เข้ามายังพื้นที่ของพวกเรา!? หรือจะเป็นหายนะที่ตระกูลซีเหมินเราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้? ถ่ายทอดคำข้าให้ซ่อนตัวอยู่ในที่พัก หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามผู้ใดออกมา ข้าจะออกไปดูเอง หวังว่ามันจะเป็นมิตรและไม่ใช่ศัตรู”

มีคนไม่น้อยในทวีปเทียนเฉินที่สามารถสร้างรอยร้าวบนค่ายกลพันเวทย์ แต่คนที่สามารถออกไปได้มีน้อยยิ่ง อย่างน้อยต้องมีพลังระดับขอบเขตสวรรค์ ซึ่งจะไม่ให้เขาหวั่นเกรงได้อย่างไร?

ค่ายกลพันเวทย์ถูกทำลายลง ทงซินที่ลอยอยู่บนอากาศสามารถตรวจจับตำแหน่งของเย่หวูเฉินได้ นางลอยลงมาจากฟ้า ดึงหนิงเสวี่ยที่ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใด จากนั้นวิ่งตรงไปข้างหน้า เพียงไม่นานพวกนางก็เห็นเย่หวูเฉินและเมิ่งจื่อยืนอยู่ตรงนั้น หนิงเสวี่ยคลายความกังวลและตะโกนอย่างดีใจ “ท่านพี่” นางวิ่งเข้าหาในขณะที่ทงซินยืนอยู่กับที่สายตาเย็นเยียบลงฉับพลัน นางปลดปล่อยจิตสังหารของสตรีเทพพิโรธอย่างไม่อาจควบคุม อากาศบริเวณโดยรอบบิดเบี้ยว คลื่นความเย็นเยียบแผ่สัมผัสใบหน้า , ร่างกาย และหัวใจพวกเขา ราวกับว่ากำลังถูกตัดเฉือนด้วยกระบี่

เนื่องจากนางเห็นรอยเลือดบนร่างของเย่หวูเฉิน

เมิ่งจื่อร่างสั่นสะท้านด้วยเงาดำหนักพาดผ่าน ราวกับก้อนหินหนักหน่วงกดทับในจิตใจ ทำให้ยากจะหายใจ มองสาวน้อยชุดดำเปล่งรังสีทมิฬออกจากดวงตาจากระยะไกล นางตื่นตระหนกสุดขั้ว ขณะนี้เองที่นางเข้าใจว่ากลิ่นอายมรณะเป็นเช่นใด

เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ยที่แนบร่างพิงกับเขา มองเมิ่งจื่อที่หน้าซีดและพลันรู้สึกผิดปกติอยู่ในใจ เขารีบก้าวไปอยู่เบื้องหน้าทงซิน ก้มลงจับมือนางแล้วกล่าวอ่อนโยน “อย่ากังวลเลย แผลของข้ารักษาแล้ว หมาป่าตัวนั้นที่ทำร้ายข้าก็ตายแล้ว ดูสิ”

เขาชี้ไปที่หมาป่าวายุโลหิตที่อยู่ปากประตูมรณะ ทงซินพยักหน้าจิตสังหารจากร่างค่อยๆเลือนหายไป นางเบี่ยงสายตาทันที มือน้อยยื่นออกมีแสงสีดำพุ่งออกมา เพียงวับเดียวมันพุ่งตรงไปที่หมาป่าวายุโลหิตที่กองอยู่บนพื้น

เมื่อแสงสีดำสัมผัสร่างของหมาป่าวายุโลหิต ทันใดนั้นแสงทมิฬขยายออกและครอบคลุมทั้งร่างหมาป่า เพียงไม่นานแสงดำก็หดแคบเล็กลง จนกระทั่งมันหายไปโดยสมบูรณ์ หมาป่าวายุโลหิตที่อยู่ในม่านแสงเหือดระเหยไปพร้อมกันอย่างไร้ร่องรอย ทุกสิ่งที่อยู่รายรอบตัวมันทั้งพื้นดิน , ต้นไม้ , ใบไม้แห้ง ยังคงอยู่โดยไร้ความเสียหาย

เย่หวูเฉินไม่มีเวลาทันห้ามนาง เขาทำได้เพียงถอนหายใจอย่างไร้ทางเลือก ครั้งนี้ ทงซินได้เผยพลังต่อหน้าเมิ่งจื่อโดยความโกรธ แต่เขาไม่คิดจะโทษทงซิน



<<<PREV    .    NEXT>>>