วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 169

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 169 ชูเกอเสี่ยวหยูผู้ยืนกราน

ห้องหนังสือ...พระราชวังเทียนหลง

“ฝ่าบาท ตระกูลเย่จะยอมรับหรือ? เรื่องนี้ย่อมนับว่ายากลำบากสำหรับตระกูลเย่อย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่การแต่งงานเพื่อสันติธรรมดา อย่างไรเสียตระกูลเย่กับอาณาจักรต้าฟงก็... เฮ้อ!” ชายชราที่ซ่อนอยู่ในเงามืดกล่าวและถอนหายใจ

“เขาจะยอมรับอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าเขาไม่ใช่เย่หนู่” หลงหยินไพล่มือทั้งสองไว้ข้างหลัง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความมั่นใจเต็มที่ วันนี้ทั้งวัน เขารอให้เย่หนู่มาหาด้วยตนเอง

“ความเห็นของข้าเป็นเช่นเดียวกับฝ่าบาท ตระกูลเย่นั้นภักดีและกล้าหาญ น่าเคารพและชื่นชมอย่างยิ่ง!” ชายชราอีกคนกล่าว

เสียงฝีเท้ารีบร้อนของขันทีวิ่งเข้ามาข้างใน เขาคุกเข่าแล้วกล่าว “ฝ่าบาท ขุนพลชราเย่ขอเข้าพบ”

เหล่าชายชราเงียบในทันที หลงหยินไม่แปลกใจและผงกศีรษะ “พาเขาเข้ามา”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่หนู่ก้าวเข้ามาและทำความเคารพ “บ่าวผู้ต่ำต้อยขอถวายบังคมฝ่าบาท”

“ขุนพลชราเย่ อย่ามากพิธีเลย” หลงหยินหันมามอง ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าว “ขุนพลชราเย่ แม้ว่าท่านจะชราแล้ว ข้าก็ไม่อยากเห็นท่านเกษียณ ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง คนผู้เดียวที่ข้าเชื่อใจมากที่สุดก็คือท่าน”

“ฝ่าบาทยกย่องข้าเกินไปแล้ว ผู้มีความสามารถและขุนนางโดดเด่นในอาณาจักรเทียนหลงมีอยู่มากมาย ข้าเพียงทำหน้าที่ของตนเท่านั้น ไม่คู่ควรกับคำยกย่องถึงเพียงนี้” เย่หนู่กล่าวถ่อมตน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...” หลงหยินหัวเราะเรียบเรื่อย แล้วกล่าวอย่างพอใจ “หากขุนนางทุกคนในราชสำนักมีจิตใจเหมือนเช่นท่าน เทียนหลงย่อมรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ขุนพลชราเย่ เดาว่าท่านคงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อคืนก่อนแล้ว อาณาจักรเทียนหลงของพวกเราเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดตั้งแต่ครั้งก่อตั้งอาณาจักร ถึงแม้ข้าจะกลัวอย่างยิ่งว่าอาณาจักรจะล่มสลายในรัชสมัยของข้า แต่ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากใจให้กับตระกูลเย่ของท่าน ท่านได้ทำสิ่งต่างๆเพื่ออาณาจักรเทียนหลงไว้มากมาย ข้าไม่อาจที่จะ...”

“โปรดอภัยที่ข้าขัดจังหวะ” เย่หนู่กล่าว “ฝ่าบาท ท่านต้องไม่กล่าวเช่นนั้น ท่านคือราชันแห่งเทียนหลง หัวใจของท่านย่อมผูกโยงเข้ากับดินแดนและผู้คน ท่านจะละทิ้งความปลอดภัยของอาณาจักรเพียงเพื่อตระกูลเย่ของข้าได้อย่างไร? ข้าเย่หนู่ ซาบซึ้งในความกรุณาของฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่านต้องไม่มีความคิดเช่นนั้น”

“แต่....”

“โปรดอย่าได้กังวล ฝ่าบาท หลานสาวของข้าได้ตกลงยอมรับการแต่งเข้าสู่อาณาจักรต้าฟง ด้วยเวลาห้าปี พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดอีก แต่หลังจากห้าปีนี้ แม้พวกเรายังต้องถูกห่อหุ้มโดยเพลิงสงคราม แม้ว่าข้าจะอายุใกล้ถึง 70 ปี แต่ข้าจะต้องสวมเกราะเข้ารบพุ่งสังหารพวกมันจนกระทั่งไร้พวกมันหลงเหลืออย่างแน่นอน” เมื่อน้ำเสียงของเย่หนู่กังวาล ความอหังการและความโกรธได้แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว ความทรนงที่ไร้ผู้ใดเสมอเหมือน สั่งสมภาวะผู้นำจนคุ้นชิน ชะโลมโลหิตมากมายจนก่อเกิดบรรยากาศกดดัน ทำให้ผู้ปกปักษ์ทั้งสามที่ซ่อนอยู่ต้องยกย่องชื่นชม

หลงหยินไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือไร้กังวลแม้แต่น้อย เขากลับส่ายศีรษะและถอนหายใจ “ขุนพลชราเย่ นี่สมควรเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับตระกูลเย่ของท่าน ตระกูลของท่านคู่ควรเรียกได้ว่าเป็นเทพปกปักษ์แห่งอาณาจักรเทียนหลง ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี พวกท่านทุกคนมีจิตใจที่สัตย์ซื่อทรนง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรับเย่ฉุ่ยเหยาให้เป็นธิดาบุญธรรมของข้า แต่งตั้งให้นางเป็นองค์หญิงเหยาฟง หลังจากนี้หนึ่งเดือน นางจะแต่งเข้าสู่อาณาจักรต้าฟง ภายในเวลาหนึ่งเดือนนี้ ข้าจะตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าฟงหลิงได้พูดความจริงหรือไม่ หากในเวลาหนึ่งเดือนกองทัพของอาณาจักรต้าฟงไม่เคลื่อนไหวตามที่มันบอก เช่นนั้น..... แต่หากไม่ใช่ ข้าจะยกเลิกคำสั่งในทันที”

เย่หนู่ก้มศีรษะลง กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ทุกอย่างให้เป็นไปตามการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท... บ่าวผู้ต่ำต้อยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นข้าขอตัวลา”

“ท่านไปเถอะ” หลงหยินถอนหายใจบางและผงกศีรษะ

เมื่อเย่หนู่ออกไป หลงหยินยืนอยู่อย่างไร้อารมณ์เป็นเวลานาน เขากล่าวกับตัวเองในใจ ‘เป็นตระกูลที่ภักดีและซื่อตรงอย่างยิ่ง จะมีวันที่พวกเขาคิดก่อกบฎต่อข้าจริงๆหรือ? หรือเป็นข้าที่คิดผิดจริงๆ... ไม่ เย่หนู่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้เป็นเพียงจักรพรรดิ แต่ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลหลง ข้าต้องไม่ปล่อยให้ตระกูลหลงของข้าตกต่ำ ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้น’

การลงทัณฑ์จากสวรรค์... เมื่อคิดถึงฉากอันน่าสยดสยองเมื่อวันนั้น ทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ฉากน่าสะพรึงกลัวทำให้เขาฝันร้ายอยู่หลายคืน แต่เท่าที่เขารู้สึก ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาความกดดันนั้นได้คลายลง เขาอยากเชื่อว่ามันเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ มากกว่าจะเชื่อว่าเป็นใครบางคนที่มีพลังสูงส่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ลอบมองดูทุกการกระทำของเขาและพร้อมจะปลิดชีวิตของเขาได้ในทุกเวลา ดังนั้น แม้ว่าเขาจะยังคงมีเจตนาอยู่ในใจ แต่เขาไม่กล้าวางแผนมุ่งร้ายต่อรุ่นเยาว์ของตระกูลเย่อีกต่อไป เขาได้แต่รอคอยโอกาสเหมาะให้เข้ามาถึง

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า เรียกตัวรัชทายาทฟงให้มาพบข้าเดี๋ยวนี้”

หลงหยินไม่ต้องรอนาน ฟงหลิงก้าวเข้ามาด้วยท่าท่างสง่า เบื้องหลังมีฟงเฉาหยางที่ตามเป็นเงา ตั้งแต่ที่รู้ว่าเขาคือฟงเฉาหยาง ก็ไม่มีใครในวังที่กล้าบอกให้เขาวางกระบี่ลงอีกเลย ทุกที่ๆพวกเขาไป สายตาล้วนไม่ได้จับจ้องที่ฟงหลิงแต่เป็นฟงเฉาหยาง สายตาเหล่านั้นสี่ในสิบส่วนเป็นความนับถือ อีกหกส่วนเป็นความหวาดกลัว

“ฝ่าบาท ท่านเรียกฟงหลิงมาเวลานี้ ไม่ทราบมีเรื่องอันใดหรือ?” ฟงหลิงมีกิริยาวาจาดี ตั้งแต่มายังอาณาจักรเทียนหลง นอกจากความก้าวร้าวในคืนงานเลี้ยง เขาก็สุภาพนุ่มนวลเหมือนตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้ผู้คนไม่อาจหยาบคายกับเขาได้

“ขุนพลชราเย่เพิ่งมาพบข้าเมื่อครู่นี้ เขาบอกว่าหลานสาวของเขายอมรับการแต่งงานกับรัชทายาทฟง ด้วยตัวตนและสถานะของรัชทายาทฟง ย่อมเป็นการง่ายที่จะดึงดูดสตรี” หลงหยินยิ้ม

“เป็นความจริงรึ?” เมื่อฟงหลิงได้ยินคำ เขาตื่นเต้นยินดีจนไม่อาจปิดบังความรู้สึกทางสีหน้า แต่ทันใดนั้นเขาส่ายศีรษะและหัวเราะเย้ยหยันตนเอง “ฝ่าบาท ท่านคงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าขบขันอย่างมาก ฟงหลิงเพียงได้พบสตรีแค่ครั้งหนึ่ง ก็กลับลุ่มหลงในรักอย่างหนัก ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ ข้าไม่อาจระงับอารมณ์ของตนเองได้ ข้านับว่าไร้เดียงสายิ่งนัก”

หลงหยินหัวเราะลั่นแล้วกล่าว “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า รัชทายาทฟง ครั้งนี้เจ้ากล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวที่ว่า สุภาพสตรีที่งดงามย่อมควรคู่กับสุภาพบุรุษ รัชทายาทฟง เจ้ายังหนุ่มยังน้อย ถึงขนาดทำได้เช่นนี้ ผู้คนย่อมเห็นเจ้าเป็นผู้มีความตั้งใจมั่นคง เจ้าจะกลายเป็นผู้ไม่ควรค่าแก่การนับถือได้อย่างไร? แต่...” น้ำเสียงหลงหยินพลันเปลี่ยน และรอยยิ้มหายไป แทนที่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ขออภัยที่ข้าพูดต้องตามตรง แต่สิ่งที่รัชทายาทฟงได้พูดไว้นั้นข้าไม่เชื่อถือ วันนี้ข้าได้ส่งคนไปเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ข้าจะรู้ชัดเจนเมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน และเมื่อถึงตอนนั้นข้าจึงจะยกธิดาแห่งตระกูลเย่ เย่ฉุ่ยเหยา ให้แต่งงานกับเจ้า ฟงหลิง”

ฟงหลิงกล่าวโดยไร้ความลังเล “หากฝ่าบาทลงความเห็นว่านี่คือที่สิ่งจำเป็น เช่นนั้นฟงหลิงก็จะไม่คัดค้าน หากฟงหลิงไม่สามารถทำได้ตามที่กล่าว เช่นนั้นฝ่าบาทสามารถยกเลิกคำสั่งได้ในทันที แต่ว่า ไม่จำเป็นต้องรอถึงหนึ่งเดือน ฟงหลิงไม่อาจทนรอได้จนครบเดือน 20 วันเป็นอย่างไร? เวลา 20 วันย่อมเพียงพอสำหรับฝ่าบาทที่จะตรวจสอบทุกสิ่ง และย่อมเพียงพอสำหรับฟงหลิงที่จะพิสูนจ์ความจริงใจรวมทั้งตระเตรียมเรื่องจำเป็น”

หลงหยินพึมพำกับตัวเอง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ฟงหลิงจะเดินทางตลอดวันและคืนกลับไปสู่อาณาจักรต้าฟง เพื่อหยุดพระบิดาไม่ให้เคลื่อนทัพ” ฟงหลิงกล่าวลาแล้วขอตัวออกไปอย่างไม่อาจทนรอ

อย่างที่ฟงหลิงได้บอก เมื่อออกไปเขาก็รีบเก็บข้าวของแล้วออกจากวังโดยไม่รอให้จักรพรรดิมาส่ง เขาเดินทางไปยังทิศตะวันตก ในใจปรากฎภาพของเย่ฉุ่ยเหยาผู้สง่าและโดดเดี่ยว เพียงไม่กี่วันเขาก็ไม่สามารถลบเลือนภาพนั้นออกไปจากใจได้

“ผู้อาวุโส ที่ข้าทำอยู่ในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด? พระบิดาอายุ 46 ในปีนี้ หลังจากนี้ห้าปี เขาจะเข้าสู่วัยที่ใช้เหตุผล เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ด้วยพลังของกองทัพอาณาจักรต้าฟง เพื่อจะรวมแผ่นดินทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีหรือแม้กระทั่ง 20 ปี เพราะความปรารถนาเห็นแก่ตัวของข้า ข้าได้ยืดเวลาออกไปอีกห้าปี และทำให้สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไป กระทั่งนับได้ว่าเป็นการเพิกเฉยต่อทั้งชีวิตของพระบิดา เพียงเพราะแค่สตรีผู้หนึ่ง...” เขาส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวด “หากเป็นก่อนหน้า ข้าย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้าไม่เสียใจสักนิดที่ได้ทำมันลงไป นี่คือมนต์มารของสตรี เพียงปรากฎในพริบตากลับทำให้เกิดผลลัพธ์ผลิกผันได้ถึงเพียงนี้”

“เรื่องของตระกูลฟงเจ้า ไม่มีอันใดที่เกี่ยวข้องกับข้า” เบื้องหลังเขา ฟงเฉาหยางตอบอย่างเย็นชา

“แต่คนที่สามารถยับยั้งความปรารถนาของพระบิดาได้ ข้าจำเป็นต้องพึ่งท่านอย่างแท้จริง มีเพียงท่านเท่านั้นที่สามารถพูดให้พระบิดาถอนทัพได้” ฟงหลินกล่าวขอโทษ เขาเงยศีรษะขึ้น “ผู้อาวุโสฟง พระบิดาข้าในตอนนั้นก็เป็นเหมือนเช่นข้า เขาตกหลุมรักสตรีเพียงได้พบแค่ครั้งเดียว เขาหลงใหลในนางอย่างหนัก บ่ายวันเดียวกันนั้น เขาได้สั่งให้คนไปสังหารนาง”

ฟงเฉาหยาง “........”

“เพราะว่าจิตใจของเขามุ่งเฉพาะเรื่องอาณาจักร เขาไม่ยอมให้ตัวเองวอกแวกเฉไฉ หลังจากนั้น เขาเจ็บปวดและทรมานตนเองเป็นเวลา 7 วัน เมื่อผ่านไป 7 วันไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสั่นคลอนความตั้งใจของเขาได้อีก และข้าถูกลิขิตให้ไม่สามารถทำเช่นเดียวกับเขาได้ ทุกคนมีมารในชีวิตของตัวเอง และมารของข้าคือสตรีแห่งตระกูลเย่ เย่ฉุ่ยเหยา ส่วนมารของพระบิดาคือโลกหล้าทั้งใบ ชั่วชีวิตของเขาจะต้องทุ่มเทเพื่อให้ได้มันมา แต่หัวใจของข้าไม่ใช่เพื่อโลกหล้า เมื่อวานนี้ ข้าได้รู้ว่าหัวใจข้าปรารถนาสิ่งใด เหตุใดข้าจึงไม่แน่วแน่เช่นพระบิดา ที่ประสบสิ่งใดก็ไม่ลดละ สำหรับพระบิดา เขาย่อมจากไปด้วยความเสียใจหากไม่อาจปกครองโลกหล้า แต่หัวใจของข้าบอกว่า หากปราศจากสตรีผู้นี้ ข้าจะต้องเสียใจไปจนชั่วชีวิต”

ร่างทั้งสองทอดเงายาวใต้แสงตะวันล่วงลับ หนึ่งอยู่เบื้องหน้า หนึ่งอยู่เบื้องหลัง หายลับตาไปในระทางไกล

เขาไม่รู้ตัวเลยว่า การใช้หัวใจตัดสินใจในครั้งนี้ จะทำให้อาณาจักรต้าฟงต้องเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ รวมไปถึงโลกทั้งใบ

เมืองเทียนหลง ตระกูลชูเกอ

ชูเกอหวูอี้ได้รับข่าว ระหว่างที่เขากลับตระกูลก็ถอนหายใจไปตลอดทาง เขาคือเพื่อนสนิทที่สุดของเย่เว่ย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความรู้เวลานี้ของเย่เว่ยเป็นอย่างดี ราวกับตนเป็นผู้ประสบสถานการณ์ไร้ทางเลือกด้วยตนเอง

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยามเฝ้าประตูหลักก็เอ่ยคารวะด้วยความเคารพ เขารับคำขณะครุ่นคิดแล้วก้าวเท้าเข้าไปข้างใน เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าหลายวันมานี้บรรยากาศในบ้านดูแปลกไป เงียบเชียบผิดธรรมดา เงียบจนกระทั่งเขาไม่คุ้นเคย ปกติเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่เขาจะต้องได้ยินคือเสียงตะโกนและทะเลาะของลูกสาวตน

ต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 10 วัน ชูเกอเสี่ยวหยูไม่ได้ไปที่ราชวิทยาลัยเทียนหลง ทุกๆวันนางจะปิดประตูขังตัวเองอยู่แต่ในห้องของตน เมื่อถึงเวลาอาหารนางจะให้สาวใช้นำอาหารมาส่งและปฏิเสธที่จะพบผู้ใด ชูเกอหวูอี้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย อาการผิดปกติของลูกสาวเกิดขึ้นเมื่อนางกลับมาจากตระกูลเย่

เขาส่ายศีรษะและถอนหายใจ เรื่องบางอย่างไม่อาจบังคับกันได้ แม้ว่าเขาจะรักลูกสาวของตนเพียงใด เขาก็ไม่อาจสร้างความลำบากใจให้กับตระกูลเย่ เขาทำได้เพียงรอเวลาให้ผ่านไป นางคงจะค่อยๆลืมเขาไปเอง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาเปลี่ยนทางและตัดสินใจไปปลอบโยนลูกสาว เมื่อเทียบกับเย่ฉุ่ยเหยา นางเพียงเจ็บปวดจากเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่างน้อยนางก็ยังมีโอกาสเลือกคนอื่น

เมื่อมาถึงประตูห้องนอนของชูเกอเสี่ยวหยู ขณะที่เขากำลังจะเคาะประตูมันกลับเปิดออก ชูเกอหวูอี้ตกใจ ชูเกอเสี่ยวหยูยืนอยู่ตรงนั้นอย่างน่าเกรงขาม ริมฝีปากของนางโค้งขึ้น สายตากระตือรือร้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยพลัง ชูเกอหวูอี้สับสน ไม่ว่าจะมองมุมไหนนางก็ไม่เหมือนคนที่พบเรื่องสะเทือนใจมา

“ท่านพ่อ ท่านมาได้เวลาพอดี” ชูเกอเสี่ยวหยูชี้นิ้วไปที่เขา “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ข้าจะเริ่มไปโรงเรียนอีกครั้ง โปรดช่วยข้าถอนวิชาเรียนในชั้นเรียนเก่า ข้าจะเข้าชั้นเรียนการพิชัยสงคราม!”

“ชั้นเรียน... การพิชัยสงคราม?” ชูเกอหวูอี้เกือบคิดว่าหูของตนมีปัญหา เขาลืมตากว้างแล้วกล่าว “หยูเอ๋อร์ เจ้าป่วยเหรอ? เจ้าเป็นหญิงจะเข้าชั้นเรียนการพิชัยสงครามได้อย่างไร? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าวางแผนเข้าสู่สนามรบ”

“ถูกต้องแล้วท่านพ่อ ข้าอยากกลายเป็นผู้กล้า ผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่กว่าท่านปู่ จะต้องมีวันหนึ่ง ที่เขาคุกเข่าเพื่อขอร้องให้ข้าแต่งงาน... แล้วก็อีกอย่างนะท่านพ่อ ต่อไปนี้ท่านช่วยกลับมาบ้านก่อนเวลา 6 โมงด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไร ท่านก็ห้ามกลับบ้านช้า ไม่อย่างนั้น... ฮึ่ม! ข้าอยากให้ท่านสอนข้าด้วยตนเอง เขากล้าเปรียบเทียบข้าเป็นแจกันดอกไม้ ข้าจะต้องให้เขาได้เห็นพลังของข้า!”

หลังจากที่นางตะโกนสุดเสียงเสร็จ ประตูก็ถูกปิดเสียงดังสนั่น ปล่อยให้ชูเกอหวูอี้ยืนจ้องประตูอย่างโง่งม เป็นเวลานานที่เขาไม่อาจเข้าใจความตั้งใจของนาง

ในเมื่อนางอยากเรียน เช่นนั้นเขาจะให้นางได้เรียน ด้วยอุปนิสัยของนาง เขาเดาว่านางคงจะท้อไปเองหลังจากผ่านไป 5-6 วัน เมื่อเขาคิดเช่นนั้น เขาได้แต่ส่ายศีรษะและจากไป



<<<PREV    .    NEXT>>>