วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 165

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 165 หายนะและการพลิกผัน

หลงหยินยกมือขึ้นหยุดการประณามของเหล่าขุนนาง เขากล่าวด้วยใบหน้าสุขุม “อาณาจักรต้าฟงของเจ้าพ่ายแพ้ต่ออาณาจักรเทียนหลงเมื่อ 20 ปีก่อน องค์ชายแห่งอาณาจักรที่พ่ายแพ้สงครามกลับกล่าวให้ผู้อื่นยอมแพ้โดยไม่ต้องสู้รบ น่าหัวเราะยิ่งนัก”

แววตาของฟงหลิงไร้อารมณ์ เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “ครั้งที่อาณาจักรต้าฟงของข้าพ่ายแพ้ให้กับอาณาจักรเทียนหลง นั่นเป็นเพราะว่าพวกเราสู้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ปล่าวเลย! ทั้งหมดเป็นเพราะสวรรค์กลั่นแกล้ง”

“อย่างแรก อาณาจักรคุยชุยและอาณาจักรชางหลานเคลื่อนไหวขนาบทางทิศใต้และทิศเหนือ อาณาจักรต้าฟงของข้าไร้ทางเลือกนอกจากแบ่งทัพใหญ่เข้าป้องกันทั้งสองพื้นที่”

“อย่างที่สอง หลังจากที่ตระกูลเย่แห่งเทียนหลงสูญเสีย ‘เทพบัญชาทัพ’ เย่เสี้ยว พวกท่านกลับมีสุดยอดพรสวรรค์อย่างขุนพลชราเย่ ผู้คุมกองทัพราวกับเทพบัญชาอีกคน อาณาจักรต้าฟงของข้าไม่เคยทราบเรื่องนี้ ดังนั้นจึงพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระบิดาจึงมักทอดถอนใจ หากไม่ใช่เพราะตระกูลเย่ อาณาจักรเทียนหลงคงตกอยู่ใต้อำนาจอาณาจักรต้าฟงไปนานแล้ว”

“อย่างที่สาม มีเพียงอาณาจักรเทียนหลงของท่านเท่านั้นที่มียุทธภัณฑ์สังหารพิเศษ ทำให้ทัพทหารต้าฟงต้องบาดเจ็บล้มตายมากมาย”

“อย่างที่สี่ เทพกระบี่ฉู่ชางหมิงแห่งอาณาจักรเทียนหลงได้ก้าวออกมาเบื้องหน้าสนามรบ ด้วยพลังของเทพกระบี่ที่ขวางกั้นทัพของพวกเรา พระบิดาและท่านปู่จักรพรรดิไม่กล้าเสี่ยงต่อผลลัพธ์ที่จะตามมา พวกเขาไม่กล้ายั่วยุศัตรูผู้ทรงพลังสะท้านหล้า นั่นคือเหตุผลที่พวกท่านยอมแพ้ในที่สุด”

“เฮอะ! ทางใต้มีอาณาจักรคุยชุย ทางเหนือมีอาณาจักรชางหลาน หากพวกเจ้ากล้ารุกรานอาณาจักรเทียนหลงของข้า พวกเขาจะต้องจู่โจมตอบโต้โดยพลัน นี่คือข้อตกลงระหว่างสามอาณาจักรมานับร้อยปี แม้อาณาจักรต้าฟงของเจ้าจะกว้างใหญ่กว่าสามเท่า และมีทัพทหารมากกว่าอาณาจักรเทียนหลง แต่หากเจ้ากล้าโจมตีหนึ่งในสามอาณาจักร ก็เท่ากับว่าเจ้าประกาศสงครามกับอาณาจักรทั้งสาม เวลานี้ เจ้าหลงคิดว่าตนยิ่งใหญ่ ถึงขนาดเกลี้ยกล่อมให้พวกเรายอมแพ้ จะยึดครองภูเขาและแม่น้ำโดยไม่มีสงคราม น่าหัวร่อสิ้นดี เจ้าสองคนพ่อลูกเห็นข้าเป็นคนโง่ หรือพวกเจ้าสองคนเสียสติไปแล้วกันแน่?” หลงหยินตะโกนเสียงเย็นเยียบ

ฟงหลิงไม่โกรธและไร้อารมณ์เหมือนปกติ “ความจริง ที่อาณาจักรต้าฟงของข้าไม่อาจเคลื่อนทัพได้เป็นเวลาหลายปี เหตุผลหลักก็คือการเป็นพันธมิตรร่วมมือของสามอาณาจักร แต่ข้าขอบังอาจถามฝ่าบาท... หากหนึ่งในพวกท่านจู่ๆเกิดเปลี่ยนใจหันมาเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรต้าฟง ท่านคิดว่าอาณาจักรเทียนหลงของท่านจะยังรับมืออาณาจักรต้าฟงได้หรือไม่?”

หลงหยินสั่นสะท้านทั้งร่างอย่างรุนแรง เหล่าขุนนางนายพลที่โกรธเกรี้ยวต่างตะลึงค้าง หากพวกเขาสูญเสียหนึ่งในพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นคุยชุยหรือชางหลาน เทียนหลงย่อมตกอยู่ในภยันตราย คำกล่าวของฟงหลิงย่อมไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอย หรือจะเป็นไปได้ว่า...

“หากข้าเดาไม่ผิด... ไม่สิ ข้ามั่นใจได้เลยว่า ก่อนที่ข้ามาที่นี่ ฝ่าบาทต้องส่งราชสานส์ด่วนไปยังผู้ครองอาณาจักรคุยชุยและชางหลาน ฝ่าบาท ท่านคงได้รับคำตอบกลับจากจักรพรรดิแห่งชางหลานแล้ว แต่ท่านได้รับคำตอบกลับของอาณาจักรคุยชุยแล้วหรือยัง?” กล่าวเสร็จเขาส่ายศีรษะ ใช้น้ำเสียงมั่นใจแล้วกล่าวต่อ “ไม่ แน่นอนว่าไม่ ข้าพูดถูกหรือเปล่า ฝ่าบาท?”

บรรยากาศกลายเป็นนิ่งงันอย่างน่ากลัว สายตากังวลจับจ้องอยู่ที่หลงหยิน คำตอบของเขาเกี่ยวพันกับชะตาของอาณาจักรเทียนหลง ดวงตาของขาสั่นไหว เขาพลันหันศีรษะอย่างโกรธเกรี้ยวมองไปที่ฟงหลิง “พวกเจ้าเสนอผลประโยชน์อะไรให้อาณาจักรคุยชุย?”

การตอบรับเช่นนี้ยืนยันในสิ่งที่ฟงหลิงกล่าว ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างต่างตกใจ หากอาณาจักรคุยชุยกลายเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรต้าฟงจริงๆ แรงกดดันท่วมทับต่อเทียนหลงจะกลายเป็นสองเท่า เผชิญหน้ากับต้าฟงเวลานี้เท่ากับเป็นหายนะ

หลงหยินจิตใจปั่นป่วน เขาสูญเสียความสงบเยือกเย็น ในใจสับสนอย่างเห็นได้ชัด

ฟงหลิงส่ายศีรษะแล้วกล่าว “เปล่าเลย พวกเราไม่ได้เสนอสิ่งใดต่ออาณาจักรคุยชุย สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เมื่อท่านกับข้าเริ่มสงครามกัน ไม่เพียงคุยชุยจะไม่ช่วยท่าน แต่พวกเขาก็ยังอาจจะ...” ฟงหลิงหยุดพูด ความหมายของอีกครึ่งประโยคที่เหลือนั้นชัดเจน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เย่เว่ยหัวเราะคำรามลั่น จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ฝ่าบาท โปรดอย่าได้ฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้ หากอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราล่มสลาย เป้าหมายต่อไปย่อมเป็นอาณาจักรคุยชุย จักรพรรดิแห่งคุยชุยจะตัดสินใจไม่ฉลาดได้อย่างไร? เขาจะกลายเป็นศัตรูกับทุกอาณาจักร! เรื่องนี้ไร้สาระอย่างที่สุด อาณาจักรต้าฟงคงส่งคนจับตัวผู้ส่งสานส์ แล้วใช้เหตุการณ์นี้ปั่นหัวพวกเรา พวกเราไม่มีทางหลงกลลวงของเจ้า!”

ผู้คนพากันผงกศีรษะ แต่กระนั้นก็ยังได้ยินฟงหลิงถอนหายใจ “ขุนพลเย่ คำพูดของท่านนับว่ามีเหตุผลและสมควร แต่ข้าไม่ใช่ผู้ที่ชอบหลอกลวงผู้คน ข้าฟงหลิง ขอสาบานว่าหากกว่าหากกล่าวเท็จแม้แต่น้อย ขอให้พวกเราตระกูลฟงกลายเป็นทาสตระกูลหลงชั่วลูกชั่วหลาน ขุนพลเย่ ท่านเชื่อข้าแล้วหรือยัง?”

เย่เว่ยสีหน้าแข็งค้าง เขาจ้องมองว่างเปล่าอยู่ชั่วขณะ จากนั้นทรุดตัวลงนั่งอย่างรุนแรง ด้วยคำสาบานร้ายกาจที่ออกจากปากรัชทายาทฟง ทำให้เขาเชื่อว่านั่นคือเรื่องจริง

“แล้วยังไง? เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะกลัวอาณาจักรต้าฟงอันยิ่งใหญ่ของเจ้า? อาณาจักรเทียนหลงของพวกเราเอาชนะเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเราย่อมสามารถเอาชนะเจ้าเป็นครั้งที่สองหรือสาม” หลงหยินแค่นเสียงเย็นชา เขาเหลือบมองยังฟงเฉาหยางที่ยืนอยู่เบื้องหลังฟงหลิงราวกับท่อนไม้ หากไม่ใช่เพราะฟงเฉาหยาง พวกเขาย่อมจับกุมตัวฟงหลิงเพื่อใช้เป็นเบี้ยต่อรอง อย่างน้อยๆด้วยวิธีนั้น พวกเขาสามารถยืดเวลาเกิดสงครามออกไปได้อีกสองปี ภายนอกเขาแสดงท่าทีไม่เกรงกลัว แต่ในใจเขารู้ดีว่าหากต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรต้าฟงในเวลานี้ อาณาจักรเทียนหลงเหลือทางรอดเพียงน้อยนิด อาณาจักรต้าฟงนิ่งเงียบมากว่า 20 ปี ในที่สุดก็ถึงเวลาที่พวกมันเริ่มเคลื่อนไหว แน่นอนว่าหายนะครั้งนี้ไม่ต่างจากแผ่นดินถล่มและคลื่นยักษ์ถาโถม

“ฝ่าบาท ท่านอาจจะไม่กลัว หากข้าเป็นท่าน ข้าก็คงไม่กลัวเช่นกัน แต่ไม่กลัวไม่ได้แปลว่าท่านจะไม่แพ้ ต่อให้อาณาจักรคุยชุยยังเป็นคงเดิม อาณาจักรต้าฟงก็ยังเอาชนะได้แม้จะยากอยู่บ้าง อาณาจักรเทียนหลงของท่านใช้ชีวิตปลอดภัยไร้โรค แม้พวกท่านจะมีทหารกล้าจำนวนมากพอ แต่คนที่อุทิศตัวอย่างแท้จริงเพื่อร่วมกองทัพนับว่าน้อยยิ่ง ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมกองทัพเพราะขาดแคลนอาหารหรือถูกเกณฑ์ ส่วนอาณาจักรต้าฟงของข้า... พวกเขาทุกข์ทรมานมาหลายชั่วรุ่น พวกเขาจะยอมเจ็บปวดอย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร? เพื่อปากท้องและชีวิตของลูกหลาน พวกเขาไม่เกรงกลัวความตาย เมื่อเข้าสู่สนามรบพวกเขาไม่รู้จักคำว่า ‘กลัว’ หรือ ‘ล่าถอย’ ท่านรู้หรือไม่ว่าอาณาจักรต้าฟงของเรารับทหารอย่างไร? ทุกๆปีผู้กล้าพากันขันอาสาเข้าร่วมกองทัพ แม้ว่าทัพเทียนหลงจะมีทหารและอาชาชั้นสูงสมบูรณ์ แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับผู้กล้าที่ไร้ความกลัว!” ฟงหลิงความมั่นใจพุ่งพล่านและกล่าวตะโกนเสียงดัง

“น่าตลกสิ้นดี เพราะความทะยานอยากเห็นแก่ตัวของพวกเจ้า ผู้ที่ปรารถนาทำลายบ้านเกิดของผู้อื่น กลับถูกเรียกว่าเป็นผู้กล้า ในอาณาจักรต้าฟงของพวกเจ้า คนยากจนสามารถปล้นชิงอย่าง ‘อุกอาจ’ และสังหารเจ้าของทรัพย์ผู้ร่ำรวยได้อย่างนั้นหรือ? อาณาจักรของพวกเจ้ากลับเรียกการกระทำต่ำช้านี้ว่ากล้าหาญ?! พวกเจ้าเห็นเพียงความเฟื่องฟูของอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา เจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าจะมีวันนี้พวกเราผ่านอะไรมาบ้างกี่ชั่วรุ่น อาณาจักรต้าฟงของเจ้าไม่รู้จักสร้าง กลับได้แต่อิจฉาและคอยแย่งชิงดินแดนเกิดของคนอื่น เจ้าเป็นองค์ชายกลับเรียกผู้คนของเจ้าเหล่านั้นว่า ‘กล้าหาญ’ เฮอะ ข้าว่าพวกเจ้ามันก็ไม่ต่างกับกลุ่มโจร อาณาจักรต้าฟงควรเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่าอาณาจักรโจร”

ยังคงเป็นเย่เว่ยผู้ไม่ยอมอ่อนข้อแสดงความอ่อนแอ เขาวิพากษ์วิจารณ์อาณาจักรต้าฟง

“ขุนพลเย่กล่าวถูกต้อง อาณาจักรต้าฟงนับว่าเป็นกลุ่มโจรทะยานอยาก เพราะโจรพวกนี้ทวีปเทียนเฉินถึงได้ลุกโชนไปด้วยเพลิงสงคราม โลหิตหลั่งไหลเป็นสายน้ำ กระนั้นพวกมันก็ไม่เคยคิดลดละ พวกมันไม่เคยคิดละอาย กระทำชั่วช้าแต่กลับรู้สึกภูมิใจ อาณาจักรเทียนหลงอันรุ่งโรจน์ของพวกเรา ไม่เคยหวาดกลัวต่ออาณาจักรต้าฟงอันน่าเหยียดหยันโดยทุกผู้คน!” ชูเกอหวูอี้ตะโกน

ฟงหลิงจ้องมองเย่เว่ยด้วยสายตาซับซ้อน จากนั้นถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างเดียวดาย “กลุ่มโจร... แม้ว่าคนของพวกเราถูกบีบคั้นด้วยภัยพิบัติและโรคภัย แต่พวกเราก็รุกรานอาณาจักรอื่นประพฤติเยี่ยงกับโจร สำหรับบิดาข้า เพื่อรวมทั้งหล้าให้เป็นหนึ่ง กลายเป็นจักรพรรดิเพียงผู้เดียวนั่นคือเป้าหมายของเขา ข้าไม่ปรารถนาเห็นเรื่องนองเลือดเกิดขึ้น เช่นเดียวกับพวกท่านทุกคน ข้าไม่อยากเห็นสงคราม”

“งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่กลับบ้านไปห้ามบิดาของเจ้า? เหตุใดต้องถ่อมาถึงพันลี้เพื่อบอกให้พวกเรายอมแพ้? คนที่ต้องการสงครามไม่ใช่ข้า แต่เป็นบิดาของเจ้า ฟงเลี่ย เฮอะ!” หลงหยินมองอย่างเย็นชา พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ทางออก ไล่แขกโดยไม่สนมารยาท

“เมื่อเป็นเช่นนี้... ฝ่าบาทเชื่อหรือไม่ว่า ข้าสามารถขอพระบิดาให้เลื่อนสงครามออกไปอีกห้าปี ท่านคิดว่าอย่างไร?”

การพลิกผันกะทันหันทำให้หลงหยินไม่มีเวลาทันตั้งตัว แม้แต่ฟงเฉาหยางที่อยู่ด้านหลังยังขมวดคิ้ว หลงหยินมุ่นคิ้วแล้วถาม “เจ้าหมายความว่าอย่างไรรัชทายาทฟง?”

“ข้าหมายความตามที่กล่าว ฟงหลิงไม่อยากเห็นโลหิตหลั่งไหลเป็นสายน้ำเกิดขึ้นในอาณาจักรเทียนหลงเพียงเพราะอาณาจักรต้าฟงของข้า นี่คือเหตุผลที่หนึ่ง เหตุผลที่สอง...” เขาหยุดกล่าว สีหน้าสงบมองไปที่เย่เว่ยผู้มีสีหน้าแข็งค้าง หลงหยินเห็นทุกการเคลื่อนไหว ข้อสงสัยของเขาเพิ่มทวี “ฝ่าบาท ท่านเชื่อหรือไม่ว่าอิสตรีมีมนต์มารสามารถทำให้คนผู้หนึ่งล้มเลิกเป้าหมายได้?”

หลงหยินตระหนก แต่ฟงหลิงไม่รอให้เขาตอบและกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเชื่อ แต่วันนี้ ข้าเชื่อแล้วว่าเมื่อสตรีต้องใจปรากฎอยู่ต่อหน้า ท่านจะเข้าใจคำกล่าวโบราณอย่างซึ้งใจว่า ‘หลงใหลโฉมสะคราญไม่ใฝ่ฝันดินแดน’ วันนี้เมื่อข้าได้พบกับสตรีผู้หนึ่ง ในใจข้าก็เวียนวนอยู่แต่เรื่องนาง จนในที่สุดข้าก็ค้นพบว่า.... เพื่อนางแล้ว ข้าสามารถละทิ้งได้กระทั่งตำแหน่งรัชทายาท สตรีถึงปานนี้ นางสามารถนับได้ว่าเป็นสตรีมนต์มารได้หรือไม่?”

“เมื่อข้ามาที่นี่ เดิมทีข้าต้องทำตามคำสั่งพระบิดา มอบราชสานส์ให้ท่านในอีกสองวัน อย่างที่ท่านเห็นฝ่าบาท พระบิดาข้าเขียนด้วยตนเองและผนึกด้วยตราประทับของราชตระกูล ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน” หลงหยินพยักหน้าเล็กน้อย ดังนั้นฟงหลิงจึงกล่าวต่อ “แต่เนื่องจากสตรีผู้นั้นกุมหัวใจของข้าไว้ ข้าจึงคิดขัดขืนคำสั่งพระบิดาสักครั้ง...” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง “หากฝ่าบาทสามารถยกสตรีผู้นั้นให้ข้าได้ ข้าจะกลับไปขอร้องพระบิดาทันที โดยแลกกับเวลาห้าปีที่สงบสุขให้พวกท่านได้เตรียมการ ท่านจะยอมรับหรือไม่ ฝ่าบาท?”

ผู้คนต่างนิ่งตะลึง พวกเขาเริ่มกระซิบถกเถียงกันทีละคน หนึ่งสตรีแลกกับเวลาห้าปีเพื่อเตรียมการอย่างสงบ การแลกเปลี่ยนเช่นนี้นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งกับอาณาจักรเทียนหลง แต่สตรีผู้นั้นคือธิดาของใคร ผู้ที่ทำให้รัชทายาทแห่งต้าฟงถึงกับต้องกระทำเช่นนี้?

หลงหยินเงียบเป็นเวลานาน เขาสามารถยืนยันได้ว่าสานส์ประกาศสงครามถูกเขียนโดยฟงเลี่ย หายนะได้คืบคลานใกล้เข้ามา ถ้อยคำของฟงเลี่ยทั้งอหังการและไม่อาจอดทน ฟงหลิงปรารถนาชะลอสงครามไปอีกห้าปีเพียงเพื่อสตรีนางเดียว... ห้าปีนับว่าสำคัญต่ออาณาจักรเทียนหลงอย่างยิ่งยวด ในเวลาห้าปีนี้เขาสามารถจัดตั้งกองทัพใหม่ เขาสามารถตรวจสอบยืนยันเรื่องอาณาจักรคุยชุย อาณาจักรต้าฟงจะสูญเสียช่วงจังหวะสำคัญในการจู่โจม ฟงหลิงถึงขั้นเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นั้นมีสถานะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง สตรีที่เขากล่าวถึง...แท้จริงแล้วคือใคร?

สถานที่ที่เขาไปมาในวันนี้... หรือว่าจะเป็นนาง? ไม่แปลกเลยที่เขามองเย่เว่ยด้วยสายตาประหลาด ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร? เวลาห้าปี? ฟงเลี่ยปรารถนาครองโลกให้ได้เสียตั้งแต่พรุ่งนี้ เขาจะทนอยู่ได้อย่างไรตั้งห้าปี ถึงแม้ว่าเจ้าต้องการ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตร ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะทำให้ฟงเลี่ยยอมอยู่อย่างสงบได้อีกห้าปี” หลงหยินเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน และไม่ถามถึงว่าสตรีผู้นั้นคือใคร

“อย่างที่ข้าบอก ข้าไม่ใช่คนที่จะหลอกลวงใคร หากมีเรื่องใดที่ข้ากล่าวโป้ปด ขอให้ตระกูลฟงของข้ากลายเป็นทาสของตระกูลหลงตลอดกาล พระบิดาข้าย่อมเห็นด้วย ข้ามีวิธีของตัวเองที่จะทำให้เขายอมรับ หากฝ่าบาทเชื่อข้า ข้าย่อมรักษาคำพูดของตน แต่หากว่าฝ่าบาทไม่เชื่อ...” แววตาของฟงหลิงแน่วแน่หนักแน่น “ข้าจะใช้ทุกวิธีการทำให้นางเป็นของข้า!”



<<<PREV    .    NEXT>>>