วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 135

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 135 เดินทางเพียงลำพัง

เย่หวูเฉินเดินนวยนาดกลับตระกูลอย่างสบายอารมณ์ ทักทายคนที่เขาถือว่าเป็นบิดามารดา จากนั้นกลับเข้าห้องของตนแล้วปิดประตู

“ทงซิน ออกมา”

พอเรียกเสร็จ มีเงาสีดำวาบผ่านสายตา จากนั้นทงซินก็ปรากฎอยู่ต่อหน้า นางพิงร่างและถูไถไปมาบนหน้าอกเขา เย่หวูเฉินลูบเส้นผมสีดำแล้วกล่าว “ทงซิน คนผู้นั้นที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เจ้าจำเขาได้หรือไม่?”

ทงซินยื่นนิ้วออกมา พยักหน้าเพื่อตอบว่านางจำได้

“อืม ดีมาก อีกไม่นาน ข้าจะมีบางอย่างให้เจ้าทำ ตอนนี้เราไปสวนของพี่สาวก่อน ไปหาหนิงเสวี่ยกัน เจ้าจำทางไปสวนพี่สาวได้หรือไม่?”

ทงซินพยักหน้าอีกครั้ง นางผละออกจากหน้าอกเขา เปิดประตูออกไปแล้วก้าวเดินนำเย่หวูเฉิน

ชีวิตของเย่ฉุ่ยเหยาค่อนข้างซ้ำซาก สวนของนางคือโลกทั้งใบ นางไม่ค่อยออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่สักเท่าไหร่ นางงดงามจนกระทั่งเทพธิดายังต้องอิจฉา พ่อแม่ของนางสงสัยว่าเพราะเหตุใดนางถึงชอบอยู่แต่ในนี้ นางไม่ปรารถนาไปที่ใด ไม่ทราบว่านางคิดอะไร หรือนางกำลังทำสิ่งใด

ตั้งแต่เย่หวูเฉินกลับมายังตระกูลเย่ โลกของนางก็ยังคงซ้ำซาก หากแต่มีสีสันที่เพิ่มขึ้นมา...สีสันที่อันตราย

เมื่อเย่หวูเฉินและทงซินมาถึงห้องของเย่ฉุ่ยเหยา นางกำลังวาดภาพอยู่ เป็นเวลานานแล้วที่นางวาดภาพเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ตน เย่หวูเฉินทำให้นางหลงใหลการวาดมากขึ้น เหตุผลนั้น...นางไม่ทราบ เป็นความรู้สึกคลุมเครือบางอย่างที่ไม่อาจอธิบาย

นางไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ความสงบเงียบในใจได้สลายกลายเป็นสับสน ยิ่งนานยิ่งปั่นป่วนอลวน เพราะมีบางคนใช้ทุกวิธีก่อกวนนาง ยิ่งกว่านั้นยังทำด้วยความจงใจ

เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในสวน นางรู้ว่าเขามาถึงแล้ว นางเผลอตัวใส่ใจทุกการเคลื่อนไหวของเขา โดยไม่รู้ตัวนางจดจำเสียงฝีเท้าของเขาได้อย่างชัดเจน นางไม่หันศีรษะไปมองแม้เขาจะเข้ามาถึง แต่พู่กันในมือนางวกวนอย่างเห็นได้ชัด มีบางสิ่งที่ไม่อาจปล่อยตัวร่วงลงไป ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันไถ่ถอนคืน

“พี่หญิง อีกสองวันข้าออกไปทำเรื่องบางอย่าง อาจต้องไปหนึ่งเดือน หรืออาจนานถึงสองเดือน” เย่หวูเฉินจูงมือหนิงเสวี่ยหนึ่งข้าง อีกข้างหนึ่งอุ้มทงซิน เขาเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน

“อืม” นางตอบกลับเสียงเบา ยังคงไม่เงยศีรษะขึ้นราวกับว่านางไม่ใส่ใจ

“หากพี่หญิงคิดถึงข้า ท่านสามารถมองรูปที่ข้าวาดไว้ให้ท่านได้” เย่หวูเฉินยิ้มบาง จากนั้นพาสาวน้อยทั้งสองจากไป

ขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวออกจากประตู เย่ฉุ่ยเหยาก็หันมาถามอย่างสงบ “เจ้าจะไปไหน?”

“สถานที่อันตรายมาก และก็น่าสนใจมาก” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ จากนั้นค่อยๆปิดประตู

เมื่อได้ยินว่าเป็นสถานที่อันตราย หัวใจนางคล้ายถูกบีบ นางรู้สึกกลัว เมื่อนางเปิดประตูออกมา เย่หวูเฉินก็ออกไปจากสวนของนางแล้ว นางปิดประตูกลับเงียบๆ พิงหลังกับประตูด้วยความสับสน นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางเกิดความกังวล หัวใจนางสับสนและหวาดกลัวเพราะเพียงหนึ่งคน

“ท่านพี่จะไปไหนเหรอ? สถานที่อันตรายและน่าสนใจ มันคือที่ใดกัน?” ระหว่างทางกลับ หนิงเสวี่ยเงยศีรษะขึ้นถาม

“เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่มาก เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ายังจำภูเขาไฟเทียนเม่ยที่พี่หลงเล่าให้พวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?”

“ข้าจำได้... แต่พี่หลงบอกว่าสถานที่นั้นอันตรายมาก ทำไมท่านพี่ถึงอยากไปที่นั่นเหรอ?”

“เพราะว่า...” เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มลึกลับ “ที่แห่งนั้นจะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านพี่จะพาข้าไปด้วยหรือเปล่า?” หนิงเสวี่ยถามใบหน้าเป็นกังวล นางกลัวจะได้ยินคำปฏิเสธ

“ไร้สาระน่า ต้องเดินทางนานตั้งสองเดือน ข้าจะฝืนใจทิ้งเสวี่ยเอ๋อร์ไว้เบื้องหลังได้อย่างไร แน่นอนว่าข้าต้องพาเจ้าไปด้วย” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ครั้งนั้นเมื่อเย่หวูเฉินออกจากแดนผนึกที่ถูกลืม เขาทิ้งเย่หนิงเสวี่ยไว้เบื้องหลัง สาวน้อยบอบบางนี้วิ่งไล่ตามเขาตลอดวันตลอดคืนด้วยเท้าที่บาดเจ็บ... ทำให้เขาต้องสัญญากับตัวเองว่าในวันหน้า เขาจะไม่มีวันทิ้งนางไม่ว่าจะไปที่ใด ต่อให้ต้องเหยียบย่างสู่ขุมนรก เขาก็จะกอดนางไว้และร่วงหล่นไปด้วยกัน

การเดินทางไปยังภูเขาไฟเทียนเม่ยเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้นานแล้ว เมื่อมีทงซินอยู่ข้างกาย เขาไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของหนิงเสวี่ยอีกต่อไป

“เย้ ดีมาก! ยอดเยี่ยม... ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ดีที่สุด” ใบหน้าของหนิงเสวี่ยฉายแววความสุขเจิดจ้า แทบกระโดดด้วยความตื่นเต้น ช่วงเวลาที่นางชอบที่สุดคือตอนที่นางกับเย่หวูเฉินยังเป็นคนไร้บ้าน แม้ว่าอาหารกับที่พักพิงจะน้อยกว่าในตอนนี้ แต่ได้ติดสอยห้อยตามเขาซึ่งต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขามักจะยุ่งกับเรื่องอื่นๆ

“เอาละๆ ดูเจ้าเข้าสิ มาเถอะ พวกเรากลับไปเก็บของกัน เสวี่ยเอ๋อร์,เจ้าสามารถเอาของไปได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมขยับแหวนเทพกระบี่ในมือ เขาสำรวจมิติว่างด้านใน และพบว่ามันกว้างขวางเท่ากับสวนของเขา

“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้น...ข้าอยากเอาเตียงกับอาหารอร่อยๆไปด้วยเยอะๆ”

“ตกลง!”

.................................

ในตอนบ่าย หลงหยินมาเยือนตระกูลด้วยตนเองจริงๆ เมื่อเขาบอกว่าเย่หวูเฉินต้องทำตามบัญชาและไปยังภูเขาไฟเทียนเม่ย ทุกคนในตระกูลเย่ต่างหน้าซีดด้วยความกลัว

เย่หนู่กล่าวเป็นคนแรก “ฝ่าบาท ข้าได้ยินว่าที่แดนเหนือสุดของอาณาจักรชางหลานมีสถานที่ที่เรียกว่าวังสตรีหิมะ เสวี่ยหนี่ผู้ที่เรียกขานกันว่า ‘อันดับหนึ่งใต้ฟ้าแพทย์เทวะ’ อาศัยอยู่ที่นั่น ข่าวลือกล่าวว่าตราบใดที่ผู้นั้นยังไม่ตาย นางสามารถหาวิธีรักษาจนหายขาดได้ เรื่องเฉินเอ๋อร์เดินทางลงใต้ พวกเราขอเลื่อนเวลาออกไปสักหน่อยได้หรือไม่? พวกเราตระกูลเย่ย่อมทุ่มเททุกวิธีการ เพื่อตามหาเสวี่ยหนี่และเชิญนางมารักษาฝ่าบาทและจักรพรรดินี”

เมื่อปีก่อน ตระกูลเย่เจ็บปวดกับความสูญเสียบุตรชาย เขาพึ่งกลับมาได้เพียงเวลาสั้นๆ ทั้งยังนับเป็นบุตรชายที่ฟ้าประทาน ยากจะพบพานได้ในรอบร้อยปีหรือกระทั่งพันปี โดยปกติแค่เขาบาดเจ็บเล็กน้อยยังทำให้พวกเขากังวลอย่างหนัก แล้วนี่จะให้พวกเขาอนุญาตเย่หวูเฉินเดินทางผจญอันตรายได้อย่างไร

หลงหยินส่ายศีรษะและถอนหายใจ “ข้าจะไม่รู้จักเสวี่ยหนี่ได้อย่างไร แต่ไม่เพียงนางอาศัยอยู่ในอาณาจักรชางหลานที่ห่างไกล ยังมีข่าวลือว่าเสวี่ยหนี่มีนิสัยแปลกประหลาด แม้ว่าฝีมือการแพทย์ของนางจะโดดเด่นไร้ที่เปรียบ แต่นานๆครั้งนางถึงจะช่วยผู้คน มีคนจำนวนมากที่ป่วยด้วยโรคไม่อาจรักษา พวกเขาเดินทางพันลี้เพื่อมาหานาง คุกเข่าอยู่หน้าวังสตรีหิมะจนกระทั่งตัวตาย นางไม่แม้กระทั่งเหลือบมองพวกเขา สำหรับจักรพรรดินีและข้า จะให้พวกเราฝากความหวังไว้กับเสวี่ยหนี่ผู้นี้ได้อย่างไร? กระทั่งราชตระกูลแห่งอาณาจักรชางหลานยังไม่อาจพึ่งพาเสวี่ยหนี่ได้ ขุนพลชราเย่ ท่านจะหาหนทางเชิญนางมาได้จริงๆหรือ? หากพลาดพลั้งทำให้นางโกรธเคือง พลังของนางเข้มแข็งไม่ด้อยกว่าเทพกระบี่ นั่นย่อมกลายเป็นหายนะใหญ่หลวงต่ออาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา”

เย่เว่ยก้าวออกมาเบื้องหน้าแล้วกล่าว “แต่ว่า... เฉินเอ๋อร์พึ่งถูกไล่ล่าโดยมือสังหารเถาไปไป มีบางคนต้องการสังหารสมาชิกตระกูลเย่ หากเฉินเอ๋อร์ต้องเดินทางเพียงลำพัง ข้ากลัวว่า...”

หวังเวิ่นชูแทบอ้อนวอน “เฉินเอ๋อร์แทบไม่ออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่เคยประสบความยากลำบาก หากเขาต้องเดินทางยาวไกลเช่นนี้...เขาจะทนได้อย่างไร”

หลงหยินกล่าว “ข้ารู้ตัวว่าครั้งนี้ข้าติดค้างตระกูลเย่ของพวกเจ้านัก แต่ว่า... ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าต้องตาย ขุนพลเย่กับฮูหยินเย่อย่าได้เป็นกังวล ข้าจะส่งอาวุโสหลี่ร่วมทางไปกับเขา เขาย่อมปกป้องหวูเฉินได้ หากพวกเจ้ายังไม่มั่นใจ ข้าสามารถส่งอาวุโสหลิวไปด้วยได้อีกคน”

สามผู้ปกปักษ์ข้างกายหลงหยินคือผู้คุ้มกันฝีมือดีที่สุด ในเวลาตรวจราชการยามปกติ เขาจะพาไปด้วยสองคน และเหลือหนึ่งคนไว้เฝ้าวัง เขามีสองผู้ปกปักษ์ข้างกายมาตลอดหลายสิบปี ไม่มีภัยใดๆกล้ำกลายหลงหยิน ต่อให้เป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนคลี่คลายได้โดยง่าย เขาเสนอผู้ปกปักษ์ถึงสองคนให้ร่วมทางไปกับเย่หวูเฉิน ปฏิบัติต่อเขาราวกับจักรพรรดิเสด็จด้วยตนเอง ตระกูลเย่จึงไม่อาจหาคำคัดค้านเพื่อหลีกเลี่ยงได้อีก

แต่ถึงแม้จะมีอันตรายเล็กน้อยสักเพียงใด ตระกูลเย่ก็ไม่อาจยอมให้เย่หวูเฉินไปเสี่ยงได้

“ขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท แต่สามผู้ปกปักษ์มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องราชตระกูล จะให้พวกเขาทิ้งหน้าที่ของตนเพียงเพราะข้าได้อย่างไร ข้าสามารถเดินทางเพียงลำพังได้” เย่หวูเฉินกล่าวขณะก้าวเข้ามา เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมด

“เฉินเอ๋อร์...” หวังเวิ่นชูเข้ามาดึงแขนเขาไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง “ภารกิจอันตรายเช่นนี้ จะให้แม่ไม่กังวลได้อย่างไร? เจ้าต้อง...”

“ข้าได้ตกลงรับบัญชาของฝ่าบาทแล้ว ในฐานะหนึ่งในสมาชิกตระกูลเย่ ข้าจะต้องทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ พวกท่านทำความดีความชอบให้กับอาณาจักรเทียนหลงไว้มากมาย ดังนั้นเวลานี้ถึงตาข้าแล้ว ข้าในฐานะรุ่นเยาว์จะขอทำบางสิ่งให้อาณาจักรเทียนหลงด้วยเช่นกัน” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว

หลงหยินอุทานชื่นชมในสิ่งที่เขาได้ยิน “โฮ่โฮ่ พูดได้ดี อาณาจักรเทียนหลงของข้ามีตระกูลเย่นับว่าฟ้าอำนวยพร แต่ตามที่บิดาของเจ้าบอก มีบางคนต้องการสังหารเจ้า บางทีเรื่องนี้อาจอันตรายอย่างมากสำหรับเจ้า แล้วจะปล่อยให้เจ้าเดินทางเพียงลำพังได้อย่างไร? เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่า ไม่เพียงชีวิตของตัวเองที่อยู่ในมือ แม้แต่ชีวิตข้าและจักรพรรดินีก็เกี่ยวพันด้วย”

เย่หวูเฉินหัวเราะไม่ใส่ใจ “ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าตอนที่จากท่านอาจารย์มา ท่านมอบยุทธภัณฑ์ชั้นเทพไว้ให้ข้ามากมาย แต่ละชิ้นล้วนมีพลังสุดหยั่ง กระทั่งมือสังหารอันดับหนึ่งยังตกตายด้วยน้ำมือข้า ไม่มีใครสามารถทำร้ายข้าได้ การเดินทางครั้งนี้ ข้าย่อมไปและกลับอย่างปลอดภัย ยามที่ข้ากลับมาถึงบ้าน ข้าจะสืบหาคนที่คิดร้ายต่อตระกูลเย่ด้วยตนเอง ไม่ว่ามันจะเป็นผู้ใด ข้าจะทำให้มันต้องชดใช้อย่างสาหัสสากรรจ์ ฝ่าบาท โปรดอย่าได้กังวล”

ดวงตาหลงหยินสั่นไหวเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เขาพยักหน้าแล้วกล่าว “ผู้สืบทอดของเทพกระบี่เหนือล้ำไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ขัดเจ้าอีกต่อไป ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ หากเจ้าจำเป็นต้องใช้สิ่งใดให้ส่งคนมาบอกพวกเรา ข้าจะได้เตรียมไว้ให้เจ้า”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หลังจากหลงหยินจากไป ห้องโถงของตระกูลเย่บรรยากาศเต็มไปด้วยความกังวล เย่เว่ยและเย่หนู่ขมวดคิ้วมุ่นไม่อาจสงบ ขณะที่เย่หวูเฉินนั่งจิบน้ำชาสบายอารมณ์ หวังเวิ่นชูกล่าวด้วยความไม่สบายใจ “เฉินเอ๋อร์ ที่แห่งนั้นอันตรายอย่างแท้จริง ต่อให้ระหว่างทางไม่มีอันตรายใดๆ ถ้าเกิดว่า...จู่ๆเจ้าไม่อาจต้านทานไฟ เจ้าจะทำอย่างไร? ถ้าเกิดว่า เจ้าตกลงไปในภูเขาไฟแล้วขึ้นมาไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น...”

“อย่ากังวลเลย ข้าจะไม่เป็นไร” เย่หวูเฉินยิ้มขณะปลอบนาง

เย่หนู่ส่ายศีรษะและถอนหายใจ “เฮ้อ ทางใต้ต่างจากทางตอนเหนือนัก มีผู้คนทุกประเภทรวมถึงสัตว์อสูรดุร้ายที่แข็งแกร่งรวมกันอยู่ที่นั่น เป็นเหตุผลว่าทำไมอาณาจักรเทียนหลงถึงเลือกตั้งเมืองหลวงไว้ทางตอนเหนือ การเดินทางครั้งนี้ย่อมไม่ราบลื่นเหมือนที่เจ้าคิด มังกรเพลิงฟ้าไม่ใช่แค่เรื่องในจินตนาการ หากเจ้าปลุกมังกรเพลิงฟ้าให้ตื่นขึ้นมา... เจ้าต้องตกตายอย่างแน่นอน มันคือสัตว์อสูรระดับสูงสุดที่แม้กระทั่งเทพกระบี่ยังไม่อาจต่อกร

“อย่ากังวลเลย ในเมื่อข้าได้รับปากไว้แล้ว ข้าย่อมมีสิ่งที่รับประกันความปลอดภัย เหตุใดข้าต้องเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงด้วย?” เย่หวูเฉินกล่าวราบเรียบ



<<<PREV    .    NEXT>>>