วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 167

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 167 คุ้มค่า

“ท่านพ่อ พวกเราควรทำเช่นใด หรือว่าพวกเราต้อง...” เย่เว่ยสีหน้าหม่นหมอง หัวใจหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินหนักพันก้อน หนักหนาจนยากจะรับไว้ ทำให้เขาลำบากที่จะหายใจ เขายอมเผชิญหน้ากับผู้รุกรานชาวต้าฟงนับร้อย ดีกว่าต้องทนแบกรับความทรมานเช่นนี้

ตั้งแต่ครั้งโบราณ เพื่อรักษาสันติสุขระหว่างสองอาณาจักร การแต่งงานระหว่างราชตระกูลเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง การแต่งออกของลูกสาวขุนพลนับเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตระกูลเย่นั้นต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาภักดีมาทุกชั่วรุ่น สังหารชาวต้าฟงเพื่อปกป้องอาณาจักรมานับไม่ถ้วน พวกเขาเกลียดมากที่สุดคือชาวต้าฟง อาจกล่าวได้ว่าการดำรงอยู่ของตระกูลเย่คือเพื่อต่อต้านอาณาจักรต้าฟง หากธิดาตระกูลเย่ถูกบังคับให้แต่งงานกับรัชทายาทแห่งต้าฟง... ย่อมเป็นความอัปยศสูงสุดต่อตระกูลเย่!

ตระกูลเย่ไม่ต้องการยอมรับความหยามอัปยศทุกชนิด ถึงแม้เย่ฉุ่ยเหยาจะเก็บตัวไม่สนใจโลก และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเหินห่าง นางก็ยังคงเป็นธิดาของเขาเพียงคนเดียว เกี่ยวพันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข  เขาจะทนเจ็บปวดที่ต้องเห็นนางแต่งออกยังอาณาจักรต้าฟงได้อย่างไร?

ตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงมื้อค่ำเมื่อคืนก่อน เย่เว่ยยังไม่อาจหลับลง ตอนนี้เขาดูอิดโรยเพราะเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เย่หนู่ ทุกเรื่องที่ฟงหลิงกล่าว เรื่องความทะเยอทะยานของฟงเลี่ย , การเปลี่ยนท่าทีของอาณาจักรคุยชุย , สภาพการณ์ปัจจุบันของอาณาจักรต้าฟง , รวมทั้งเงื่อนไขที่ฟงหลิงเสนอ นอกจากที่เย่หนู่เอ่ยขัดอย่างตกใจในคราแรก หลังจากนั้นเขาไม่กล่าวคำใดอีก เขาเพียงฟังอยู่เงียบๆ หลังจากที่เย่เว่ยอธิบายทุกสิ่งจบลง ร่างของเย่หนู่ก็แข็งค้างราวกับหิน เขานั่งอยู่และพูดไม่ออก

“ท่านพ่อ พวกเราควรทำอย่างไร?” เขาถามอีกครั้ง จ้องมองบิดาตนที่คล้ายชราลงหลายปี เย่เว่ยรู้ดีว่าความรู้สึกของเขาหม่นหมองเช่นเดียวกับตน

“การที่เจ้าถามคำถามแบบนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีคำตอบแล้วอยู่ในใจ แต่เจ้าปฏิเสธที่จะกล่าว และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับมัน ดังนั้นเจ้าจึงให้ข้าพูดมันออกมาแทน” เย่หนู่เริ่มกล่าวช้าๆ น้ำเสียงชรานั้นไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังแห้งผากอย่างน่าตกใจ

เย่เว่ยหัวใจกระตุก เขารีบส่งเสียงกล่าว “แต่ว่าท่านพ่อ...”

“อย่าฝืนอีกต่อไปเลย” เย่หนู่กล่าวขัดจังหวะ เขาหลับดวงตาชราลง กล่าวด้วยเสียงต่ำพร่า “ปีนี้เจ้าอายุ 40 แล้ว ไม่ใช่คนหนุ่มอีกต่อไป เจ้าผ่านอะไรมามากมายแต่ยังปล่อยให้อารมณ์ครอบงำการตัดสินใจ แม้การเสียสละครั้งนี้จะเจ็บปวดทรมานสำหรับพวกเรา แต่มันคุ้มค่าหรือไม่... มันยากที่จะชั่งน้ำหนักหรือ?”

เย่เว่ย “........”

เย่เว่ยจ้องมองอย่างว่างเปล่า จากนั้นถอนหายใจยาว เขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าเย่หนู่

“อาณาจักรเทียนหลงและอาณาจักรต้าฟงจะต้องเกิดสงครามในไม่ช้าก็เร็ว แต่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นในเวลานี้ พวกมันเตรียมการมาตลอด 20 ปี และพวกมันตั้งใจเคลื่อนทัพขนาดใหญ่เข้าโจมตีขณะที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว ระหว่าง 20 ปีที่ผ่านมาพวกเราค่อยๆสูญเสียการเฝ้าระวัง และตอนนี้พวกเราไม่ได้เตรียมการใดๆไว้ทั้งสิ้น... ยิ่งกว่านั้น อาณาจักรคุยชุยยังดูคล้ายร่วมมือกับอาณาจักรต้าฟง หากพวกเราเริ่มสงครามในเวลานี้ อาณาจักรเทียนหลงจะมีโอกาสแค่ไหนที่จะเอาชนะ? จะมีโอกาสแค่ไหนที่เราจะมีโอกาสรอด?”

“ห้าปี... ในเวลาห้าปีนี้ ย่อมมากพอที่จะเปลี่ยนชะตาของอาณาจักรเทียนหลง... เว่ยเอ๋อร์ ตั้งแต่เจ้ายังเป็นเด็ก ข้ามักจะสอนเจ้าให้คุ้นเคยกับตำราพิชัยสงคราม ยิ่งกว่านั้น ข้ายังสอนเจ้าให้จัดทัพด้วยตนเอง วางแผนกลทัพรับมือศัตรู และทุกๆครั้งข้าต้องฝืนใจแม่ของเจ้า พาเจ้าเข้าสู่สมรภูมิ เพราะเหตุใดข้าถึงต้องทำเช่นนั้น?”

“เพื่อปกป้องอาณาจักรเทียนหลง เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของตระกูลเย่... หากไร้อาณาจักรเทียนหลงก็ย่อมไร้ตระกูลเย่ พวกเราไม่อาจปล่อยให้หมาป่าชั่วช้าย่างเท้าเข้ามา หรือแย่งดินแดนแห่งเทียนหลงได้แม้เพียงนิ้วเดียว” เย่เว่ยกล่าวชัดทุกถ้อยคำ คำพูดนี้เหมือนที่ปู่ของเขาเคยบอกเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ บิดาก็บอกเขาเช่นเดียวกัน เขาไม่มีวันลืมมัน และเขาไม่กล้าที่จะลืม

“ถูกต้อง... หากอาณาจักรเทียนหลงล่มสลายลงในตระกูลเย่รุ่นนี้ เช่นนั้นความพยายามของรุ่นก่อนๆก็ย่อมสูญเปล่า ตระกูลเย่จะกลายเป็นฝุ่นผงในประวัติศาสตร์ พวกเราตระกูลเย่จะกลายเป็นอาชญากรแห่งอาณาจักรเทียนหลง หลังจากตายไป พวกเราจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษในปรภพได้อย่างไร? ใช้หนึ่งชีวิตเพื่อแลกทุกสิ่ง เจ้าว่าคุ้มค่าหรือไม่?” เย่หนู่บีบพนักวางแขนบนเก้าอี้แน่น นิ้วของเขาแทบจะจมลงไป เมื่อได้ฟังเย่เว่ยเล่า หัวใจของเย่หนู่ทั้งชิงชังและเจ็บปวดยิ่งกว่าเย่เว่ย แต่เพราะเขาชราแล้ว ผ่านความยากลำบากมามากมาย เขาล่วงเลยวัยทำตามอารมณ์ชั่ววูบ ด้วยข้อดีและข้อเสียที่ปรากฎอย่างชัดเจน เขารู้ดีว่าทางใดที่ตระกูลเย่ต้องเลือก

“คุ้ม... ค่า....” เย่เว่ยเงยศีรษะขึ้น กล่าวคำนี้ลอดไรฟันออกมาอย่างยากลำบาก

เขาไม่รู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ปี เขาไม่เคยสนใจและไม่เคยถามถึงเรื่องลูกสาวของตน บางทีหากใช้เวลามากพอ เขาอาจลืมการมีอยู่ของลูกสาวตัวเองก็เป็นได้ ต้องพบกับเย่ฉุ่ยเหยา เขาจะกล่าวเรื่องนี้ออกมาอย่างไร?

“ข้ารู้ เจ้าเป็นพ่อย่อมไม่อาจพูดเรื่องนี้ได้ งั้นให้ปู่ของนางเป็นคนพูดแทน ด้วยนิสัยของเหยาเอ๋อร์...ฮ้า!”

เย่หนู่ลุกขึ้นแล้วก้าวออกไปด้วยฝีเท้าที่หนักหน่วง เย่เว่ยมองร่างชรานั้นที่ดูเดียวดาย จมูกของเขาสะอื้น เขารู้ดีว่าความเจ็บปวดของบิดาตนไม่ได้ด้อยไปกว่าตน ในวันที่บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่หายไป ชายชราผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวเป็นเวลาสองวันสองคืน ไม่เคลื่อนไหวราวกับไม้แกะสลัก แม้ว่าเขาจะจริงจังและหัวโบราณ แต่ความรักต่อลูกหลานนั้นลึกซึ้งอยู่เสมอ ไม่เคยยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด ครั้งนี้เขาต้องไปขอให้เลือดเนื้อของตระกูลเย่จากไปชั่วนิรันดร์ แต่งออกยังอาณาจักรต้าฟง... ความรู้สึกของเขาในยามนี้ ไม่ต่างจากถูกตัดขั้วหัวใจ

สวนน้อยของเย่ฉุ่ยเหยาสง่างามและเงียบสงบเหมือนปกติ เขาไม่เห็นเงาของสาวใช้หรือคนรับใช้ใดๆ เย่หนู่อยู่หน้าประตูสวนเป็นเวลานานก่อนที่จะก้าวเข้าไป

“นั่นใคร?”

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่ฉุ่ยเหยาที่กำลังวาดรูปดอกบัวขาวอยู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่นางไม่เงยศีรษะขึ้นขณะที่ถามอย่างเย็นชา

เย่หนู่เดินมาถึงปากประตูห้อง เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆพลักประตูเข้าไปอย่างเบามือ

กลิ่นหอมหวานบางเบาของสตรีกระจายอยู่ ห้องหับจัดวางเรียบง่ายปรากฎต่อสายตาเขา เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย เขาได้ลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มายังห้องของหลานสาวตนคือเมื่อใด มันผ่านมานานมาก

เย่ฉุ่ยเหยาเงยศีรษะขึ้นมามองเย่หนู่ในที่สุด นางตกใจเล็กน้อยขณะที่ยืนขึ้น นางเอ่ยออกมาอย่างสงบ “ท่านปู่”

เย่หนู่ผงกศีรษะแล้วค่อยๆเข้ามาข้างใน สายตามองสำรวจทุกมุมในห้อง “เหยาเอ๋อร์ ถึงแม้พวกเราอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ปู่กลับไม่ได้มาพบเจ้าเป็นเวลาเนิ่นนาน เป็นความผิดของปู่เอง”

เย่ฉุ่ยเหยานำถ้วยน้ำชามาวางบนโต๊ะเล็กที่อยู่ใกล้เย่หนู่ที่สุด “ท่านปู่โปรดนั่งก่อน”

นางยังคงเย็นชา กระทั่งเมื่อพบกับปู่ตนเอง สีหน้าของนางก็ยังคงแข็งทื่อ แทบไร้ร่องรอยของอารมณ์ใด เย่หนู่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดนางถึงชอบอาศัยอยู่เช่นนี้ภายใต้ตระกูลเย่

เย่หนู่สั่นศีรษะให้ว่าไม่จำเป็นต้องนั่ง เขาเปิดปากจะพูดบางสิ่งแต่ลังเล เขากล่าวถึงเรื่องอื่นแทน “เหยาเอ๋อร์ เจ้าบอกปู่ได้หรือเปล่าว่าเจ้าอยู่ในนี้ทำอะไรบ้าง? อยู่แต่ในห้องเป็นเวลานาน จะดีกว่าหากเจ้าออกไปเดินเล่นข้างนอกมากกว่านี้”

“อ่านหนังสือและวาดภาพ” เย่ฉุ่ยเหยาตอบอย่างกระชับและเข้าใจ ก่อนหน้านี้นางวาดภาพเพื่อแสดงอารมณ์ แต่ตอนนี้ นางทำเพื่อจุดประสงค์เดิม แต่อารมณ์ของนางได้เปลี่ยนไปอย่างมากและเป็นทิศทางที่อันตราย

“โอ้? วาดรูป?” เย่หนู่มองไปบนโต๊ะที่มีกระดาษวาดซ้อนกันหนา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอปู่ดูภาพวาดของเจ้าหน่อยได้ไหม? มันจะต้องงดงามไร้ที่เปรียบแน่ เมื่อก่อนย่าของเจ้าก็ชอบวาดภาพเช่นกัน แย่นักที่ข้าไม่อาจชื่นชมตอนที่นางยังอยู่ เมื่อนางตายไป ข้าทำได้เพียงดูรูปวาดของนาง และคิดถึงนาง”

เย่ฉุ่ยเหยาไม่ได้พยักหน้า สีหน้านางดูลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเมื่อก่อน นางไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ แต่ตอนนี้ นางไม่ต้องการให้ใครนอกจากเย่หวูเฉินเห็นภาพวาดของนาง ไม่ว่านางจะพยายามยับยั้งและเตือนตัวเองมากแค่ไหน นางก็ไม่อาจสลัดอารมณ์ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ นางวาดรูปด้วยหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวด

เย่หนู่เห็นนางลังเลจึงรีบกล่าว “ช่างเถอะๆ ปู่เป็นผู้ชายหยาบกร้าน ข้าไม่เหมาะชื่นชมสิ่งสวยงาม ตอนนี้ข้าก็ชราแล้ว ไม่อาจรู้เรื่องราวภาพวาดน่าสนใจได้”

เขาหันไปแล้วยกถ้วยน้ำชาที่เย่ฉุ่ยเหยาเทให้ขึ้นมา เขาจิบเล็กน้อยลดเปลือกตาลงชื่นชมกับรสชาติ “ปู่... ไม่ได้ลิ้มรสชาติของชาที่เจ้าชงด้วยตนเองมานานหลายปีแล้ว”

ลึกลงไปในหัวใจ เสียงปวดร้าวอ้อยอิ่งอยู่ข้างใน บางทีในอนาคต เขาคงไม่อาจได้ลิ้มรสชาตินี้อีกแล้ว...

เขาดื่มชาลงไปด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความลังเล วรยุทธของเย่หนู่ไม่ได้สูงมากนัก เขาอ่อนแอกว่าเย่หวูเฉินในเวลานี้ แต่ผู้ที่ตกตายด้วยน้ำมือของเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมมีอยู่นับไม่ถ้วน เขาคือชายที่ไม่ถอยหนีแม้ร่างกายจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด ชายที่เผชิญหน้ากับทหารนับพันเพียงลำพังโดยไม่เกรงกลัว ชั่วชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจให้ผู้ใด... แต่ตอนนี้ ด้วยศีรษะที่ขาวโพลน เขารู้สึกเสียใจกับครอบครัวตนเอง

เมื่อชาอุ่นถูกดื่ม เขาถอนหายใจยาว วางถ้วยน้าชาลงแล้วค่อยๆรำงับจิตใจ เขาไม่ลืมเหตุผลที่มาที่นี่ แม้หัวใจเขาไม่ปรารถนาอย่างยิ่ง เขาก็ต้องไม่ลังเลอีกต่อไป

เย่ฉุ่ยเหยาเพียงยืนอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว พวกเขาอยู่ในสถานการณ์อึดอัด เย่หนู่มาที่นี่กะทันหัน พร้อมการกระทำที่แปลกอย่างเห็นได้ชัด เย่ฉุ่ยเหยารู้ว่าเขามีบางสิ่งที่ต้องกล่าว นางไม่ไต่ถามใดๆและรออยู่เงียบๆให้เขาเอ่ยออกมา สิ่งที่นางต้องทำคือตอบว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’

“เหยาเอ๋อร์ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”

“19 ปี” เย่ฉุ่ยเหยาตอบ

เย่หนู่ส่ายศีรษะหัวเราะให้กับตัวเอง “ดูข้าสิ เป็นปู่ของเจ้าแท้ๆกลับไม่อาจจำอายุของหลานสาวตัวเอง... โอ้ จริงสิ เจ้าอายุมากกว่าเฉินเอ๋อร์สองปี เฉินเอ๋อร์ปีนี้อายุ 17 เพราะฉะนั้นเจ้าต้องอายุ 19 ปี” แล้วเขาก็ถอนหายใจ “อายุ 19 ปี เป็นวัยที่ถึงเวลาแต่งงาน เหยาเอ๋อร์ เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรือยัง?”

เย่ฉุ่ยเหยาแทบไม่เคยก้าวออกจากบ้าน นางจะมีคนที่ชอบได้อย่างไร? เมื่อเย่หนู่ถามคำถามนี้ เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่ที่เขาแปลกใจก็คือ ด้วยนิสัยของเย่ฉุ่ยเหยา นางควรจะตอบกลับมาอย่างเย็นชาว่า ‘ไม่’ แต่ใบหน้างดงามกลับฉายแววความสับสน สายตาว่างเปล่าเป็นเวลานาน สุดท้ายนางส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “ไม่”



<<<PREV    .    NEXT>>>