วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 145

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 145 ความลับของกระบี่เหล็ก

คนที่นำกลุ่มเข้ามานั้นก้าวร้าวอย่างยิ่ง ขณะที่เขากำลังจะตะโกนสำแดงพลัง ก็พลันเห็นสตรีลึกลับยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว สายตาเขาชะงักค้างในทันที ลืมเลือนสิ่งที่จะพูดสิ้น แม้เห็นเพียงภาพเงา ร่างนั้นมีมนต์ดึงดูดราวกับพรากวิญญาณ ไม่เฉพาะแค่มัน บุคคลทั้งสามก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน ดวงตาถลนกว้างแทบร่วงออกจากเบ้า กระทั่งน้ำลายยังไหลย้อยออกจากมุมปากอย่างไม่อาจควบคุม

“ท่านพี่ พวกเขาดูน่ากลัวจัง” หนิงเสวี่ยหดร่างซุกอกเย่หวูเฉินแล้วกระซิบ ทงซินพิงหลังเขาอยู่และกำลังก้มกัดก้อนขนมปิ้ง หากสาวน้อยนางนี้เงยศีรษะอยู่ สิ่งแรกที่พวกโจรจะเห็นย่อมเป็นนาง ไม่ใช่สตรีลึกลับผู้นี้

“อย่ากลัวเลย เดี๋ยวพวกเขาก็ไปแล้ว” เย่หวูเฉินปลอบนางเสียงเบา จากนั้นเงยศีรษะขึ้น จดจ่อรอดูฉากที่กำลังจะเกิด

“มารดามันเถอะ... ฝนนี่ใช่จะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว สตรีงดงามถึงเพียงนี้ ข้าหลินเหลาเห่ยเกิดมาเพิ่งเคยพบเจอ” คนที่เป็นหัวหน้าอดไม่ได้และยกมือเช็ดมุมปาก ราวกับเสียสติขณะกล่าววาจา มันหัวเราะราวปีศาจและเผยสีหน้าหยาบโลน มันโยกศีรษะแล้วก้าวเข้าไป ยกมือขึ้นหมายสัมผัสใบหน้าสตรี “โฉมงาม เจ้าอยากมากับข้า เป็นภรรยาของขุนโจรหรือไม่?”

สายตาของสตรีคมกล้าขึ้น ข้อมือขาวเหยียดออกเบื้องหน้าในฉับพลัน ผ้าไหมขาวยวดยาวพุ่งออกจากแขนเสื้อ มันพุ่งกระแทกใบหน้าของชายผู้นั้น ผ้าไหมขาวบางคล้ายแส้ยาวที่หวดฟาด ตีถูกหน้าอย่างไร้ปราณี ร่างกร้านหนาของมันลอยกลับไป พร้อมซี่ฟันหักและเลือดไหลกลบปาก

ฉากเหล่านี้ช่างเหมือนกับที่เย่หวูเฉินคิดไว้ในใจ กลุ่มโจรโง่เง่าไม่ประมาณตนหวังล่วงเกินนางเซียน จากนั้นถูกนางทุบตีย่อยยับลง ในที่สุดชายทั้งสี่ก็นอนเกลือกบนพื้นร้องโอดโอย “นางเซียน โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย วันหน้าพวกเราจะไม่ทำอีกแล้ว...” หนึ่งในนั้นกล่าว “ข้ามีแม่แก่ชราอายุ 80 ปี มีลูกสามขวบที่ต้องเลี้ยงดู” จากนั้นตามมาด้วยคำพูดมากมายคล้ายๆกัน ในที่สุดพวกมันก็ตะกายร่างออกไปทีละคน ด้วยหางจุกก้นระหว่างที่หนีออกไป

และแล้วกระท่อมน้อยก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

หากมีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ พวกเขาคงคิดว่าชายหนุ่มที่ดูโดดเด่นไม่ธรรมดา ย่อมก้าวออกมาอย่างกล้าหาญและสยบคนชั่วที่คิดคร่ากุมนางเซียน เป็นผู้กล้าสร้างความประทับใจให้โฉมงาม หากตั้งแต่เริ่มจนจบ เย่หวูเฉินไม่ได้ขยับทำสิ่งใด เขาเพียงนั่งมองอย่างสบายใจ ตอนนี้ไม่มีฉากใดให้ดูต่อ เนื่องจากพวกโจรหลบหนีไปอย่างอับอาย สตรีลึกลับเหลือบมองเย่หวูเฉินผู้เมินเฉย มองเขาอย่างสงบขณะหนึ่ง จากนั้นมองผ่านหน้าต่างไปด้านนอก เม็ดฝนเริ่มบางลง เย่หวูเฉินไม่อาจทราบว่านางกำลังคิดสิ่งใด

“พี่สาว ท่านเก่งจัง! แข็งแกร่งมากเหมือนท่านพี่” หนิงเสวี่ยอุทานด้วยความชื่นชม

สตรียังคงเงียบงัน

หนิงเสวี่ยยืนขึ้น เดินไปที่สตรีแล้วเงยใบหน้าน้อยๆ “พี่สาว ชุดของท่านเปียก ท่านคงจะหนาวมาก มาเถอะทำให้มันแห้งท่านจะได้รู้สึกสบายตัว”

ในที่สุดสายตาของสตรีก็มองมาที่ใบหน้าของหนิงเสวี่ย จากนั้นสายตานางหดลีบลง ไม่ว่าใครที่เห็นหนิงเสวี่ยคราแรกย่อมตกใจกับสองรอยแผลเป็นน่ากลัวรวมทั้งเส้มผมสีขาวของนาง หลังจากเหลือบมอง นางถอนสายตากลับแล้วก้าวเท้าผ่านหนิงเสวี่ยออกจากกระท่อมหลังน้อย

ฝนฟ้าคะนองในฤดูใบไม้ร่วงผ่านมาและจากไปเร็ว ข้างนอกเม็ดฝนซาลง ท้องฟ้าไม่คำรามอีกต่อไป หนิงเสวี่ยกระพริบตามองที่พี่สาวผู้ปฏิเสธจะสนใจนาง นางหายไปกับม่านฝน ในใจของหนิงเสวี่ยทั้งสงสัยและเสียใจอยู่บ้าง

“ท่านพี่ ทำไมนางถึงไม่สนใจข้าเลย?” หนิงเสวี่ยถามอย่างตระหนกเล็กน้อย

เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “พี่ชายเจ้าบอกแล้วไง นางคือนางเซียน ผู้ที่ไม่กินอาหารเหมือนมนุษย์ นางปฏิเสธไม่สนใจสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่ข้าเชื่อว่าเมื่อเสวี่ยเอ๋อร์เติบใหญ่นางต้องงดงามยิ่งกว่านางเซียน”

“เซียน?” หนิงเสวี่ยรู้สึกงุนงงกับคำที่นางไม่ค่อยได้ยิน นางพยักหน้าน้อยๆแล้วกล่าว “ท่านพี่ เมื่อครู่นางไม่สนใจข้า หรือเป็นเพราะว่าข้าไม่ได้เรียกนางว่าเซียน? หากข้าเรียกนางว่าพี่สาวเซียน นางจะสนใจข้าไหม?”

“อย่าห่วงเลย อีกไม่นานพวกเราจะได้พบนางอีก” เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มลึกลับ “มาเถอะ นั่งลงแล้วทานอาหารของเจ้าให้เสร็จ พอเจ้ากินอิ่มแล้ว ฝนคงหยุดพอดี”

กองไฟเริ่มมอดลง สายฝนข้างนอกยังคงตกปรอยลงมา เย่หวูเฉินแผ่จิตสัมผัสตรวจดูรอบๆ เมื่อไม่พบผู้ใดอยู่ใกล้ๆ เขายื่นมือออกแหวนเทพกระบี่วาบแสงขาวประหลาด จากนั้นกระบี่คร่ำคร่าสนิมเขรอะก็ปรากฎในมือ มันคือกระบี่เหล็กที่เขานำออกมาจากคลังสมบัติของราชวังเทียนหลง

กริ๊ก...

มีเสียงเบาและกระบี่ยาวอีกเล่มปรากฎขึ้นในมืออีกข้างของเย่หวูเฉิน ใบกระบี่คล้ายโปร่งแสงสะท้อนแสงเยียบเย็น แผ่บรรยากาศเย็นเยือกทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง เพียงถือกระบี่ในมือแรงกดดันยังเย็นถึงเพียงนี้ นี่คือกระบี่หิมะที่เย่หวูเฉินกับทงซินขโมยมาจากคลังสมบัติ ตำนานกล่าวว่ามันคือกระบี่หิมะของเสวี่ยหนี่

เคร้ง!

เย่หวูเฉินเหวี่ยงกระบี่ตัดกัน กระบี่เหล็กขาดครึ่งอย่างง่ายดาย กระบี่ครึ่งใบร่วงลงบนพื้น ถูกฟางข้าวคลุมไว้อย่างเงียบงัน

“เอ๋? ท่านพี่ ท่านตัดกระบี่นั่นทำไมเหรอ?” หนิงเสวี่ยขยับเข้ามาใกล้แล้วถามอย่างใคร่รู้

“ลองดูสิ” เย่หวูเฉินหยิบชิ้นกระบี่ที่ร่วงลงพื้นขึ้นมา แล้วเอาตรงที่ถูกตัดให้หนิงเสวี่ยดู กระบี่เล่มนี้คงอยู่มานานหลายร้อยปี และแม้ว่าภายนอกจะมีสนิมเกาะ แต่ชั้นด้านในยังคงดูใหม่ กลายเป็นว่าด้านนอกกระบี่ทำด้วยโลหะคุณภาพสูง ส่วนด้านในไม่ได้แข็งแรงทนทาน แต่เป็นโลหะหนักที่ยากจะเป็นสนิม... บางที มันอาจไม่ใช่โลหะ

“ด้านในกลวงเหรอ?” หนิงเสวี่ยเอ่ยอย่างแปลกใจ กลางกระบี่กลวงทำให้ถูกตัดโดยง่าย น้ำหนักของกระบี่ไม่ต่างจากกระบี่ปกติทั่วไป กระทั่งยังหนักกว่าเล็กน้อย ทั้งยังมีรูกลวงที่ได้สัดส่วนเหมาะเจาะอยู่ตรงกลาง

ตอนที่เย่หวูเฉินหยิบกระบี่ เขาไม่พบสิ่งใดผิดปกติ แต่เมื่อแผ่พลังสำรวจ เขาพบว่าตรงกลางกระบี่มีรูกลวง มันย่อมมีบางสิ่งซ่อนอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาไม่คิดมากความแล้วเลือกกระบี่เล่มนี้ทันที

เขาเก็บกระบี่หิมะ จับชิ้นกระบี่ด้วยมือซ้ายแล้วเขย่า มีเสียงเล็กๆและม้วนหนังที่ถูกมัดด้วยด้ายทองร่วงออกมาจากรู

หนิงเสวี่ยเผลออุทาน “บางอย่างตกลงมา แต่... มันซ่อนอยู่ในกระบี่จริงๆเหรอ? ดูเหมือนมันทำมาจากหนังสัตว์เลย”

เย่หวูเฉินวางชิ้นกระบี่ลงแล้วหยิบม้วนหนังขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขาทดสอบดูและรู้สึกโล่งใจ หลังผ่านไปหลายร้อยปีไม่เพียงกระบี่เท่านั้น แต่ม้วนหนังยังทำมาจากวัสดุไม่ทราบชนิดซึ่งเสื่อมสภาพลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยังทนทานและไม่ฉีกออกเมื่อเย่หวูเฉินดึงเบาๆ

เย่หวูเฉินแกะด้ายสีทองออก จากนั้นค่อยๆคลี่ม้วนหนัง หัวใจเต้นแรงเล็กน้อย สิ่งที่ทิ้งไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยธรรมดา พลังของเขาสามารถชำแรกผ่านทุกสิ่ง ดังนั้นด้วยการสำรวจเขาจึงพบว่าในกระบี่เล่มนี้มีรูตรงกลาง กระทั่งตระกูลหลงยังไม่ทราบเรื่อง กระบี่เล่มนี้ถูกทิ้งไว้โดยบรรพบุรุษต้นตระกูล ผู้สั่งกำชับว่ากระบี่ไม่อาจถูกทำลาย ดังนั้นสิ่งที่ซ่อนเป็นความลับในกระบี่เล่มนี้นับร้อยๆปีย่อมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อย่างเช่น...

หนิงเสวี่ยและทงซินผู้สงสัยอยู่ด้านซ้ายและขวา มองผ่านไหล่ของเย่หวูเฉิน ม้วนหนังถูกกางออก มีเส้นสายและจุดดำวาดอยู่ ด้านข้างจุดดำมีอักษรเล็กสามคำ เย่หวูเฉินกวาดตามองผ่าน เลิกคิ้วขึ้นสูง

“ท่านพี่ มันคือ?” หนิงเสวี่ยเกาะบ่าของพี่ชายและถามอย่างสงสัย นางไม่เข้าใจสิ่งที่วาดอยู่บนม้วนหนัง ทงซินก็เช่นกัน

“มันคือแผนที่” เย่หวูเฉินตอบหลังจากมองสำรวจผ่านๆ จากนั้นพลิกดูด้านหลังของม้วนหนัง

ตรงด้านหลังมีเส้นสายไม่มากและมีอักษรจางๆ เย่หวูเฉินกวาดตาผ่านและต้องตกตะลึง เขากำมือปิดม้วนกระดาษในใจตื่นตระหนกอย่างล้ำลึก

“แผนที่? แผนที่อะไรเหรอ? ทำไมพวกเขาต้องซ่อนแผนที่ไว้ในกระบี่ด้วย หรือว่าพวกเค้ากลัวมันหาย?” หนิงเสวี่ยเอ่ยถาม

“แผนที่นี้ไม่มีประโยชน์กับพวกเรา แต่มันสามารถสร้างความโกลาหลได้” เย่หวูเฉินตอบอย่างนุ่มนวล เขามัดม้วนหนังด้วยด้ายทอง แต่ไม่ได้ใส่กลับในกระบี่ ตรงกันข้าม เข้าเก็บมันไว้ในแหวนเทพกระบี่ แม้ว่าเขาไม่อาจใช้แผนที่นี้ แต่เขาจะไม่ยอมให้มันปรากฎแก่สายตาผู้ใด ยิ่งกว่านั้น เขาไม่ต้องการให้ตระกูลหลงได้มันไป... แม้ว่ามันจะเป็นของตระกูลหลงก็ตาม

ใบหน้าของหนิงเสวี่ยเต็มไปด้วยความงุนงง นางไม่ถามต่อ สำหรับนางแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ธุระของนาง

เย่หวูเฉินหยิบกระบี่สองชิ้นประกบรอยตัดเข้าด้วยกัน จากนั้นใช้มือหนึ่งข้างจับรอยตัด เขาเคลื่อนพลังหวูเฉินชั่วครู่แล้วขยับมือออก บนหน้าผากผุดเม็ดเหงื่อ กระบี่เชื่อมติดกันอีกครั้ง ไร้รอยตัดทิ้งไว้เบื้องหลัง

ยามนี้ฝนด้านนอกได้หยุดตก ก้อนเมฆเริ่มสลายจาก เย่หวูเฉินเก็บกระบี่เหล็กจากนั้นอุ้มหนิงเสวี่ยและจูงมือทงซิน “ไปกันเถอะ”

บ่ายวันนั้น เป็นเหมือนที่เย่หวูเฉินคาดไว้ เขามาถึงยังเมืองเซียงหยุนและค้างคืนในห้องพักเล็กๆ แม้ว่าเย่หวูเฉินไม่ได้นำแผนที่มา ก่อนหน้านั้นเขาจดจำแผนที่ของอาณาจักรเทียนหลงจนขึ้นใจ ทั้งระยะทางและตำแหน่ง ไม่ว่าเมืองเล็กหรือใหญ่เขาจดจำได้ทั้งหมด

สองวันต่อมา

เป็นเวลาหกวันตั้งแต่พวกเขาออกจากเมืองเทียนหลง ระหว่างการเดินทางพวกเขาไม่พานพบอุปสรรคหรือสิ่งไม่คาดฝันใดๆ เบื้องหน้าพวกเขาเป็นผืนป่าใหญ่หนาทึบดูน่ากลัว ป่าผืนนี้คือเส้นแบ่งระหว่างตอนเหนือกับตอนใต้ของอาณาจักรเทียนหลง และเป็นทางเดียวที่สามารถมุ่งหน้าลงใต้

แหงนมองท้องฟ้าเบื้องบน เย่หวูเฉินกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน ดูเหมือนวันนี้พวกเราต้องค้างแรมกันในป่า”

“อื้ม ดีเลย! ข้าชอบป่าที่สุด ใช่แล้วท่านพี่ คืนนี้พวกเรากินเนื้อย่างกันได้ไหม? ข้าไม่ได้กินมันมานานมากแล้ว” หนิงเสวี่ยบิดร่าง กระพริบตาโตขณะถาม มองไปที่ป่าแล้วคิดถึงครั้งที่นางกับเย่หวูเฉินพบกันครั้งแรก ทุกๆวันพวกเขาออกไปเก็บผลไม้ป่าและล่าสัตว์ตัวเล็กๆ หลังจากมายังตระกูลเย่ นางได้ทานเพียงอาหารหรูหรากับพี่ชาย นางคิดถึงเวลาเหล่านั้นที่ได้ย่างเนื้อกินกัน หัวใจของสาวน้อยเปลี่ยนไปตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้น

“แน่นอน ได้อยู่แล้ว ป่าแห่งนั้นมีสัตว์ตัวเล็กๆอยู่มากมาย” เย่หวูเฉินยิ้มตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกก็คือในป่านั่นมีสัตว์อสูรตัวโตเพ่นพ่านอยู่ด้วยเช่นกัน



<<<PREV    .    NEXT>>>