วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 151

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 151 ซีเหมินชิงและพานจินเหลียน

“ท่านพี่ ท่านบาดเจ็บ” หนิงเสวี่ยพิงพักบนไหล่ที่คุ้ยเคย ลูบรอยเลือดอย่างเบามือ น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงแววสะอื้นเสียใจ เย่หวูเฉินกระซิบข้างใบหูของนาง “เสวี่ยเอ๋อร์อย่ากังวลเลย แผลของพี่ชายเจ้ารักษาแล้ว หมาป่าตัวนั้นถูกพี่ทงซินของเจ้ากำจัดแล้วเช่นกัน อย่าเสียใจเลย ดูสิ พี่หญิงเมิ่งของเจ้าก็บาดเจ็บเช่นกัน”

“อื้ม... ข้าจะไม่เสียใจแล้ว”

น้ำตาร่วงหยดบนไหล่ของเย่หวูเฉิน นางลอบปาดน้ำตาตนเอง หันไปหาเมิ่งจื่อแล้วถามอย่างกังวล “พี่หญิงเมิ่ง ท่านบาดเจ็บหรือ?”

เมิ่งจื่อไม่ได้ยินนางเพราะกำลังตกตะลึงอย่างหนัก ตลอดชีวิตนางไม่เคยตะลึงค้างขนาดนี้มาก่อน ชั่วขณะที่ทงซินลบร่างหมาป่าให้หายไปในอากาศ นางนึกถึงเรื่องที่บันทึกอยู่ในตำราโบราณที่สืบทอดกันมากว่าพันปี มีเพียงยอดฝีมือธาตุทมิฬขอบเขตเทวะเท่านั้น ถึงจะมีคำสาปมืดต้องห้ามของปีศาจ พลังที่สามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นธาตุทมิฬแล้วสาบสูญไปจากผืนดินและแผ่นฟ้า

ตอนนี้ เด็กหญิงได้กระทำสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดต่อหน้านาง

จิตสังหารและดวงตาของเด็กหญิง รวมถึงวิธีสังหารหมาป่าวายุโลหิต ได้แสดงให้เมิ่งจื่อรู้ว่า หากเรื่องที่เย่หวูเฉินต้องบาดเจ็บเพราะนางถูกรู้โดยทงซิน ผู้ที่จะหายไปอาจไม่ใช่หมาป่าตัวโต

เย่หวูเฉินรู้ความหมายที่แฝงในแววตานาง เขาก้าวไปอยู่เบื้องหน้าแล้วถาม “ท่านยังเดินไหวอยู่หรือเปล่า?”

เมิ่งจื่อเบือนสายตาออกจากทงซินอย่างยากลำบาก นางเดินสองสามก้าว แต่ความเจ็บปวดเกินทนที่เท้านางทำให้ร่างไหวเอน เย่หวูเฉินวางหนิงเสวี่ยลงเตรียมเข้าไปช่วยประคอง เมิ่งจื่อทำท่าให้เขาอยู่ห่างๆ แต่เย่หวูเฉินคว้าข้อมือนางไว้แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าแนะนำว่าท่านอย่าทำตัวกล้าหาญให้มากนัก แผลของท่านลึกและกระทบถึงกระดูก หากยังคิดฝืนเดินต่อแผลจะปริเปิดออก และเท้าของท่านจะกลายเป็นหนอง เมื่อถึงเวลานั้น เตรียมตัวเป็นนางเซียนเท้าเดียวได้เลย”

สำหรับสตรีที่คุ้นชินกับความสมบูรณ์แบบ นางไม่กล้าเสี่ยงกระทั่งกับรอยแผลเป็นเล็กน้อย ไม่ต้องกล่าวถึงการเสียเท้าหนึ่งข้าง ใบหน้าของนางซีดเผือด ในที่สุดนางก็ไม่ขัดขืนอีก ยอมให้เขานำแขนนางพาดไว้ที่คอ

“ไปกันเถอะ” เย่หวูเฉินดันเมิ่งจื่อผู้ตระหนก

เมิ่งจื่อจ้องที่เขาอย่างงุนงงแล้วถาม “ท่านจะไม่แบกข้าบนหลังหรือ?”

พอถามเสร็จนางรู้สึกเสียใจ หันหน้าไปอีกทางไม่กล้ามองเขาอีก

เย่หวูเฉินจ้องนางแล้วถามด้วยน้ำเสียงขบขัน “ท่านนี่โลภมากจริงๆ ขนาดข้าเหนื่อยก็ยังอุตส่าห์ช่วยพยุงท่านเดิน แต่ท่านกลับคิดไปไกลถึงขั้นให้ข้าแบกไว้บนหลัง”

“ทะ..ทะ..ท่าน ปล่อยข้า ข้าเดินเองได้” ใบหน้าเมิ่งจื่อกลายเป็นสีแดง ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดดันเย่หวูเฉินออกไป ไม่สนความเจ็บที่เท้าแล้วเดินโขยกเขยกไปข้างหน้า

เย่หวูเฉินมองแผ่นหลังนางแล้วพูดเสียงเบา “สตรีหนอสตรี ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดคับแคบ แย่นัก... ท่านได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ต่อให้ท่านอยากจากไป แต่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว”

หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาก็มาถึงสุดขอบป่า เบื้องหน้าสายตาเป็นคฤหาสน์โอ่อ่าน่าประทับใจ พวกเขาตรงไปที่ประตูสีน้ำตาล มีป้ายเคลือบทองแขวนอยู่เขียนคำว่า “ซีเหมิน”

“อย่างนี้นี่เอง เพราะพวกเราเอาแต่มุ่งหน้าลงใต้ จึงบังเอิญบุกรุกเข้ามาในถิ่นของตระกูลซีเหมิน ไม่แปลกเลยที่บริเวณนี้จะมีค่ายกลที่แข็งแกร่ง” เย่หวูเฉินกล่าว ชื่อเสียงของตระกูลซีเหมินเป็นที่รู้จักกันทั่วยาวนานในเมืองเทียนหลง กิตติศัพท์ของตระกูลซีเหมินคือมีบทบาทสำคัญในแดนตอนใต้ของอาณาจักรเทียนหลง ยืนหยัดเคียงข้างตระกูล ตงฟาง , หนานกง และเป่ยหมิง ประสานกันเป็นต้นเสาค้ำจุนอาณาจักร ส่งเสริมสนับสนุนกันและกัน หากหนึ่งในพวกเขาถูกศัตรูรุกราน สามตระกูลที่เหลือจะลงมือตอบโต้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากระตุ้นโทสะของสี่ตระกูลเวทย์ผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นกฎนี้ที่ทำให้สี่ตระกูลเวทย์เข้มแข็งมานานนับหลายร้อยปี

“แท้จริงกลับเป็นเขตของตระกูลซีเหมิน” เมิ่งจื่อกล่าวด้วยอารมณ์ แม้ว่านางไม่ได้ออกมาท่องโลกมากนัก แต่นางรู้จักเหล่าตระกูลยิ่งใหญ่ของโลก รวมทั้งยังเข้าใจดีกว่าเย่หวูเฉิน

น้ำหนักของร่างส่วนใหญ่รั้งลงบนตัวของเย่หวูเฉิน แขนขวาโอบรอบลำคอของเขา เท้าซ้ายอยู่บนพื้นดิน เท้าขวาที่บาดเจ็บแตะสัมผัสพื้นเพียงแผ่วเบา ท่าทางของนางเก้กังอย่างหนัก ความดื้อรั้นของนางไม่อาจฝืนนานเพราะความเจ็บปวดที่เท้า ทั้งนางยังกลัวว่าจะกลายเป็น “นางเซียนเท้าเดียว” ดังนั้นนางจึงยอมให้เย่หวูเฉินช่วยพยุงเดิน นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เบียดชิดติดกับชาย ตอนนี้หัวใจนางต่อต้านเพียงเล็กน้อย หนึ่งเสียงอันแน่นอนปรากฎอยู่ในใจ ถูกเขาแบกอุ้ม ถูกสัมผัสเท้า... เรื่องเหล่านี้ไม่นับเป็นอันใด เพราะในอนาคตนางจะ....สังหารเขา

ประตูตระกูลซีเหมินปิดแน่นหนา มีเพียงชายหนุ่มบุคลิกดีรูปร่างปานกลางยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขาออกมาจากป่า ชายหนุ่มรีบเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “นับเป็นแขกมีเกียรติผู้มาเยือน ขออภัยที่พวกเราไม่ได้ต้อนรับพวกท่านก่อนหน้านี้ เป็นความผิดของพวกเรา ไม่ทราบว่า...”

เสียงของชายหนุ่มหยุดลงทันที สีหน้าเขาตื่นตระหนก เย่หวูเฉินคิดว่าเขาเสียสมาธิชั่วขณะเพราะเห็นทงซินไม่ก็เมิ่งจื่อ เมื่อเย่หวูเฉินสงบใจลงกลับพบว่าชายหนุ่มมองจ้องมาที่หน้าของตน ในใจเขาสงสัย

ชายหนุ่มจากสีหน้าตื่นตระหนกกลายเป็นตื่นเต้น เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น “สุภาพบุรุษท่านนี้ ท่านคือนายน้อยเย่จากเมืองเทียนหลงใช่หรือไม่?”

“โอ้? ท่านรู้จักข้าด้วย?” เย่หวูเฉินมองเขาแวบหนึ่งเพื่อยืนยันว่าไม่เคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน เหลือความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือ...

ชายหนุ่มยิ่งตื่นเต้นขึ้น เขาตอบกลับในฉับพลัน “แซ่ของข้าคือซีเหมิน มีชื่อคำเดียวว่าชิง ในวันนั้น ข้ามีวาสนาได้เห็นนายน้อยเย่แสดงความสามารถเหนือล้ำกับตา ข้าได้แต่เสียใจที่ไม่อาจเป็นสหายกับท่าน วันนี้คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ ข้าเกือบคิดว่าข้าตาฝาดไปแล้ว”

ซีเหมิน...ชิง!? เย่หวูเฉินทั้งร่างนิ่งค้าง การหาชื่อดีๆไม่ใช่เรื่องยาก เหตุใดเขากลับใช้ชื่อเฉพาะเช่นนี้

[โน๊ต: ซีเหมิน แปลว่า ประตูตะวันตก , ชิง แปลว่า ฉลอง ซึ่งก็คือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้]

ซีเหมินชิงก้มศีรษะลงครึ่งหนึ่ง สายตาจ้องที่เย่หวูเฉินเพียงคนเดียว เขาไม่อาจปกปิดความปิติยินดี เขาไม่สนใจมองทงซินหรือเมิ่งจื่อ เพราะเขาเกือบสูญเสียจิตใจเมื่อเห็นพวกนางจากระยะไกล ดังนั้นเขาจะกล้ามองพวกนางอีกหรือ? ในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยของตระกูลซีเหมิน เขารู้ว่าต้องทำตนให้ดูน่าเชื่อถือ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านชมข้าเกินไปแล้วพี่ซีเหมิน ฝีมือเล็กน้อยของข้าจะอยู่ในสายตาของตระกูลซีเหมินได้อย่างไร?” เย่หวูเฉินยิ้ม ด้วยความยิ่งใหญ่ของตระกูลซีเหมิน สิ่งที่ทำให้เย่หวูเฉินงุนงงไม่ใช่การที่พวกเขาเข้าร่วมชม แต่เป็นพวกเขาทนชมการประลอง ‘น่าเบื่อ’ เหล่านั้นได้อย่างไร

“เฮ้! ท่านกล่าวแบบนั้นได้อย่างไร นายน้อยเย่? ท่านยังอายุเยาว์วัยไม่เพียงแค่มีวรยุทธเหนือล้ำแต่ยังฉลาดหลักแหลม ทั้งยังมีพรสวรรค์อันน่ามหัศจรรย์ วันนั้นข้าและบิดาบังเอิญผ่านไปเมืองเทียนหลง ด้วยความเบื่อหน่ายจึงลองเข้าไปชม พวกเราไม่คาดฝันว่าจะโชคดีได้เห็นสุดยอดพรสววรค์ เมื่อข้าเล่าให้คนในครอบครัวฟังถึงความสามารถของท่าน ส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อลง ดูเหมือนพรสวรรค์ของนายน้อยเย่จะอยู่ในชั้นตะลึงโลก” ซีเหมินชิงกล่าวพลางหัวเราะ

เย่หวูเฉินไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ เขากล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “พวกเราสี่คนวางแผนเดินทางไปเมืองเหยียนหลงที่อยู่ทางใต้ ไม่คาดคิดว่าจะพลาดพลั้งเข้ามาในที่แห่งนี้ พวกเราคงสร้างปัญหาให้ท่านอย่างยิ่งแล้ว พี่ซีเหมิน”

ซีเหมินชิงหัวเราะสลดแล้วกล่าว “อันที่จริงเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน ข้าทราบแต่แรกแล้วว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในค่ายกลพันเวทย์ เพียงคิดว่าคงมีบางคนต้องการบุกเข้ามายังคฤหาสน์ตระกูลซีเหมิน ปกติคนที่บุกรุกเข้ามาพวกเราจะเพิกเฉยไม่สนใจ แต่คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วจะเป็นนายน้อยเย่ ทันทีที่ข้าเห็นหน้าท่าน ข้ารู้ทันทีว่าท่านคงพลั้งเผลอเข้ามาในนี้ หากข้าทราบล่วงหน้า ข้าคงเปิดประตูต้อนรับท่านเข้ามาข้างใน... ยิ่งกว่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยเย่จะมีพลังสูงส่งสุดกู่ ถึงขั้นทำลายค่ายกลพันเวทย์ได้ นายน้อยเย่มีพลังแกร่งกล้าแต่ไม่แสดงออกมาบนลานประลองในวันนั้น ฮี่ฮี่ นายน้อยเย่อย่าได้กังวล เรื่องนี้เป็นเพราะตระกูลซีเหมินของพวกเราละเลย ท่านถึงต้องปกป้องตนเอง ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล่าวโทษท่านเพราะเรื่องนี้ ในทางกลับกัน พวกเราทำให้นายน้อยเย่และคุณหนูผู้นี้บาดเจ็บ นี่นับเป็นความผิดพลาดของตระกูลซีเหมินอย่างแท้จริง หากท่านไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านพักอยู่กับพวกเราสักสามวัน เพื่อเป็นการขออภัยจากข้าซีเหมินชิง จากนั้นท่านค่อยออกเดินทางหลังจากรักษาแผลแล้ว”

เขาเห็นรอยเลือดบนไหล่ของเย่หวูเฉิน และที่เท้าของเมิ่งจื่อ

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะยิ้มแล้วกล่าว “พี่ซีเหมิน ท่านเป็นผู้ยุติธรรมนัก แต่นี่เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ใด เป็นความผิดของพวกเราที่เข้ามายังค่ายกลพันเวทย์โดยไม่ได้รับอนญาต ทั้งผลลัพธ์ยังเป็นการทำลายค่ายกล เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างแท้จริง พวกเราโทษได้เพียงตัวเองเท่านั้นที่บาดเจ็บ นับเป็นเกียรติที่พี่ซีเหมินไม่กล่าวโทษพวกเรา เราจะรบกวนท่านเพราะธุระของตนอีกได้อย่างไร? แต่ว่า...” เย่หวูเฉินมองที่เมิ่งจื่อแล้วกล่าวติดตลก “นางเซียนผู้นี้โชคร้ายบาดเจ็บที่เท้า สองสามวันนี้นางไม่อาจเดินเหินได้อย่างสะดวก ดังนั้นพวกเรามีคำขอน่าละอายคือขอยืมม้าของพี่ซีเหมินสักหนึ่งตัว”

ซีเหมินหัวเราะแล้วกล่าวตรงไปตรงมา “เรื่องเล็กน้อยนี้ไม่นับเป็นเกียรติอะไรหรอก ข้าจะรีบ...”

เอี๊ยด

ประตูเบื้องหลังซีเหมินชิงเปิดออก มีหญิงสาวแต่งกายงดงามวิ่งออกมา นางตะโกนว่า ‘สามี’ อย่างกังวล จากนั้นนางจับแขนของซีเหมินชิงไว้และยืนข้างเขา นางมองคนทั้งสีอย่างตื่นตัว คราแรกสายตานางดึงดูดติดที่เมิ่งจื่อ แต่นางเพียงมองแล้วลดศีรษะลง ความรู้สึกต่ำต้อยวาบผ่านในจิตใจ เมิ่งจื่อเพียงยื่นนิ่งอยู่ตรงนั้น ตรงกับข้ามกับนางที่ดูคล้ายทื่อทึมไปเล็กน้อย

“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าออกมาทำไม?” ซีเหมินชิงถามอย่างกังวลขณะดุว่านาง เพราะไม่ทราบว่าผู้ที่ทำลายค่ายกลคือมิตรหรือศัตรู เพื่อเป็นการป้องกัน เขาให้คนทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ด้านในแล้วออกมาตรวจสอบด้วยตนเอง ตอนนี้เขาวางใจแล้ว แม้พวกเขาคือตระกูลซีเหมินผู้โด่งดัง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่สามารถทำลายค่ายกลพันเวทย์ได้ พวกเขาต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่เป็นศัตรูกับคนผู้นั้น นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่เหลือทางเลือก

“ข้าเป็นห่วงท่าน ดังนั้นจึง...”

ชื่อของหญิงสาวที่เรียกโดยซีเหมินชิงทำให้ร่างของเย่หวูเฉินหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เขารีบถามทันที “พี่ซีเหมิน นางคือ?”

“โอ้! นี่คือภรรยาข้า แซ่ของนางคือพาน ชื่อของนางคือจินเหลียน นางคือธิดาของตระกูลร่ำรวยที่สุดของเมืองจินชิงที่อยู่ข้างหน้า” ซีเหมินชิงยิ้มขณะแนะนำนาง

เย่หวูเฉินสีหน้าน่าเกลียด เขาไม่อาจกล่าวคำเป็นเวลานาน

ซีเหมินชิงมองที่เขาอย่างงุนงงแล้วถาม “ดูจากสีหน้าของนายน้อยเย่ หรือว่าท่านเคยพบภรรยาข้ามาก่อน?”

เย่หวูเฉินโบกมือทันที “เปล่า เปล่า ข้าเพียงแค่คิดว่าพี่ซีเหมินและคุณหนูพานช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก ยากนักที่จะหาได้ในโลกมนุษย์ ข้าจึงเกิดความรู้สึกชื่นชม”

ซีเหมินชิงและพานจิงเหลียน... สามีและภรรยา หากพวกเขาไม่เหมาะสมกันแล้วจะมีคู่ไหนที่เหมาะกว่า?

[โน๊ต: ซีเหมินชิง และ พานจินเหลียน เป็นชื่อตัวละครในนิยายโลกีย์เรท r ถึง x ของจีน เรื่องนี้ถึงขนาดถูกประกาศเป็นหนังสือต้องห้ามในสมัยราชวงค์หมิง ปล.หากสนใจเอาคำว่า บุปผาในกุณฑีทอง ไปค้นต่อได้]



<<<PREV    .    NEXT>>>