วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 154

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 154 เทพสงครามฟงเฉาหยาง (1)

“มีคนมา” ชายกลางคนผู้เงียบงันมาตลอดเปิดปากพูด น้ำเสียงแหบแห้งชราผิดจากภาพภายนอก

ฟงหลิงหยุดพูดแล้วยืนขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าเขาอบอุ่นดูเป็นมิตรไมตรี เขายิ้มเรียบง่ายมองไปที่ทางเข้าท้องพระโรง

จักรพรรดิไม่ปล่อยให้ฟงหลิงต้องรอนาน เขาพาขุนนางผู้มียศศักดิ์ใหญ่มากกว่าสิบคนเข้ามาพร้อมกับราชองครักษ์ ฟงหลิงกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ยินดีที่ได้พบ ฝ่าบาท โปรดอภัยที่ข้าเข้ามาอย่างเสียมารยาท ข้ามาเยือนฝ่าบาทในฐานะตัวแทนพระบิดา ฟงหลิงหวังว่าอาณาจักรเทียนหลงจะสุขสบายดี”

หลงหยินหัวเราะร่วน เขากล่าวขณะเดินเข้ามา “เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว ที่จริงเป็นข้าที่เสียมารยาทเพราะไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตนเอง รัชทายาทฟง เชิญนั่ง”

หลงหยินนั่งในตำแหน่งประธาน ฟงหลิงนั่งในตำแหน่งรองลงมา ชายกลางคนตามหลังฟงหลิงราวกับเงา สีหน้าเขาไร้อารมณ์ หลงหยินเหลือบมองชายกลางคนแล้วชักสายตากลับ จากนั้นกล่าวอย่างสุภาพ “รัชทายาทฟง เท่าที่ข้าทราบมา เจ้าจะมาถึงที่นี่ในอีกสามวัน ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่แล้ว? เร็วจนข้าไม่ทันตั้งตัว เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง โปรดพิสูจน์ตัวตนของเจ้าด้วย”

“นั่นสินะ” ฟงหลิงยิ้มไร้กังวล เขานำตราสีเขียวมรกตออกจากอกแล้วชูให้หลงหยินดู “นี่คือหยกวายุฟ้า สัญลักษณ์ของราชตระกูลแห่งอาณาจักรต้าฟง ฝ่าบาททรงวางพระทัยหรือยัง? เหตุผลที่ข้ามาถึงที่นี่เร็วนักเพราะข้าอยากเห็นอาณาจักรเทียนหลง ข้าไม่อาจทนรอและเดินทางตลอดคืนวันเพื่อมาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงมาถึงก่อนเวลาที่คิดไว้สองสามวัน”

หยกวายุฟ้ากระชับพอดีมือ ผิวของมันเป็นสีเขียวมรกต สะท้อนแสงแวววาว บริสุทธิ์กระจ่าง ลวดลายซับซ้อนอยู่บนผิว ตรงกลางมีอักษร “ฟง” สะดุดตา เพียงแค่เหลือบมอง หลงหยินก็ระบุได้ว่าคือของจริง เขายิ้มแล้วกล่าว “อย่างที่คิด ข้ากังวลมากเกินไป เดาว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่รัชทายาทฟงมาเยือนอาณาจักรเทียนหลงของข้า มาเถอะ ข้าเตรียมงานเลี้ยงไว้ให้เจ้าแล้ว มาถึงเทียนหลงทั้งที เจ้าต้องลิ้มลองอาหารเลิศรสและสิ่งสวยงาม”

อย่างไรก็ตาม ฟงหลิงกล่าวปฏิเสธ “ฟงหลิงขอบพระทัยฝ่าบาทที่มีไมตรีจิต แต่พระบิดาให้เวลาข้าจำกัดนัก ทุกเวลานาทีย่อมมีค่าสำหรับท่าน ข้าจะทำให้ท่านเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? การเดินทางครั้งนี้พระบิดาให้ข้าเรียนรู้โลกทั้งใบ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ ยิ่งกว่านั้นเพื่อเยี่ยมเยือนผู้ปกครองรวมถึงเหล่าผู้กล้าแห่งอาณาจักรเทียนหลง ฝ่าบาทโปรดพิจารณา”

หลงหยินแววตาเป็นประกาย เขารีบปกปิดทันที จากนั้นค่อยๆพยักหน้าแล้วกล่าว “สมกับเป็นรัชทายาทแห่งต้าฟง กริยาวาจาน่าชื่นชม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้คนนำเจ้าเที่ยวชมอาณาจักรเทียนหลง”

“ฟงหลิงต้องรบกวนฝ่าบาทแล้ว”

“ฮี่ฮี่...โอ้? อีกอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดรัชทายาทฟงถึงพาผู้ติดตามมาด้วยเพียงคนเดียว?” หลงหยินมองไปที่ชายกลางคนที่อยู่ข้างหลังฟงหลิง

ฟงหลิงยิ้มแล้วกล่าว “เพราะว่าฟงหลิงมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือน ไม่ได้มาต่อสู้รบรา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำผู้ติดตามมาด้วยหลายคน ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทคงไม่คิดจับข้าเป็นตัวประกันใช่หรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

หลงหยินก็หัวเราะร่าด้วยเช่นกัน “เจ้าล้อข้าเล่นแล้ว รัชทายาทฟง แต่เจ้ามาที่นี่คงสบายใจได้ แน่นอนว่าผู้ติดตามเจ้าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา อาณาจักรต้าฟงมีประชากรมากมาย ผู้มีความสามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา จากเครื่องแต่งกายของผู้ติดตามเจ้า ร่างลักษณะของเขาสะดุดตายิ่งนัก ข้าควรเรียกเขาว่าเช่นไร?”

หลงหยินไม่เชื่ออย่างที่สุดว่ารัชทายาทแห่งต้าฟงจะพาตัวเองมาเสี่ยง และบุรุษชุดเขียวประหลาดผู้นี้ ตลอดเวลาทั้งร่างกาย , สีหน้า และสายตาไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิด เขาไม่สบตาใครตั้งแต่เริ่ม บุคคลผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ชายผู้นี้สามารถปกป้องรัชทายาทแห่งต้าฟงได้ย่อมไม่ใช่คนทั่วไป

ฟงหลิงส่ายศีรษะเบาๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อย

หลงหยินเห็นเขาไม่ต้องการตอบ ดังนั้นเขาไม่เซ้าซี้เรื่องนี้ต่อและถามเรื่องอื่น “พระบิดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฟงหลิงวางถ้วยน้ำชาลงแล้วกล่าว “ขอบคุณฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย พระบิดาข้าสุขสบายดี เพียงแต่เขาพึ่งขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นเขาจึงมีเรื่องยุ่งมากมายต้องจัดการ...”

หลงหยินและฟงหลิงคุยกันร่าเริงและออกรส ราวกับเป็นสหายสนิทต่อกัน ที่นั่งแถวล่างคือเหล่าขุนนางที่มีสีหน้าไม่พอใจ แม้ว่าฟงหลิงจะมีท่าทีสุภาพและไมตรี พวกเขาก็ยังรู้สึกเค้นเคืองอยู่ในใจ พวกเขาเกลียดชังชาวต้าฟง และยิ่งเกลียดชังขึ้นเมื่อเขาเป็นรัชทายาทต้าฟง บุตรของฟงเลี่ย

ปรากฎว่าหลงหยินดูชื่นชอบฟงหลิงมากยิ่งขึ้น ราวกับเขาพอใจที่ได้คุยกับฟงหลิง อย่างน้อยๆภายนอกก็ดูเป็นแบบนั้น หลังจากจบศึกมหาสงคราม อาณาจักรเทียนหลงก็สงบสุขมานานกว่า 20 ปี แต่เมื่อ 20 ปีผ่านไป อาณาจักรเทียนหลงก็ไม่อาจเทียบอาณาจักรต้าฟงได้ ทั้งเรื่องกองทัพและกำลังรบ ผู้อื่นอาจแสดงความไม่ชอบใจต่ออาณาจักรต้าฟง แต่หลงหยินในฐานะผู้ปกครอง ไม่ว่าเขาจะรังเกียจอาณาจักรต้าฟงมากเพียงใด เขาก็ต้องปั้นสีหน้าสุภาพและไม่อาจฉีกทำลายหน้ากากลง

ฟงหลิงกวาดตามองใบหน้าของเหล่าขุนนางเทียนหลง ในที่สุดเขาก็หยุดมองใบหน้าภาคภูมิของเย่หนู่ สายตาเป็นประกาย เขายืนขึ้นและโพล่งออกมาทันที “อภัยที่ฟงหลิงเสียมารยาท ไม่ทราบว่าท่านคือขุนพลชราเย่ใช่หรือไม่?”

เย่หนู่ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดคำ “ผู้ชรานี้เคยพบรัชทายาทฟงมาก่อนงั้นหรือ?”

 เย่หนู่ไม่ใช่บุคคลที่ลื่นไหลเจ้าเล่ห์ ความเกลียดชังต่ออาณาจักรต้าฟงเผยอยู่บนใบหน้า เขาไม่แสดงความเคารพต่อฟงหลิง ผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าฟงแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินคำตอบ ฟงหลิงไม่เพียงไม่โกรธ เขากลับตื่นเต้นและเดินมาหยุดอยู่ห่างเบื้องหน้าห่างจากเย่หนู่สามก้าว เขาคำนับแล้วกล่าว “เป็นขุนพลชราเย่จริงๆ ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท”

“โอ้? รัชทายาทฟงเคยพบขุนพลชราเย่มาก่อนอย่างนั้นหรือ?” หลงหยินยิ้มถาม

ฟงหลิงส่ายศีรษะแล้วกล่าว “เปล่า นี่คือครั้งแรกที่ฟงหลิงได้พบขุนพลชราเย่ พระบิดามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้มีบุคคลแค่สามคนที่เขาชื่นชม หนึ่งในนั้นคือขุนพลชราเย่ พระบิดาเอ่ยเรื่องขุนพลชราเย่ให้ข้าฟังอยู่บ่อยๆ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาทั้งนับถือและหวั่นเกรงขุนพลชราเย่ เขาชื่นชมในปัญญาและความกล้าหาญ ด้วยพลังรบของกองทัพที่น่าอัศจรรย์ แข็งแกร่งเกินที่เปรียบราวเหล็กกล้า  ระหว่างปีนั้นพวกเขาเป็นได้เพียงศัตรู ไม่อาจเป็นพวกร่วมปกครอง เป็นความเสียใจในชีวิต ครั้งนี้ พระบิดาฝากข้าแสดงความนับถือต่อขุนพลชราเย่แทนตน”

“ข้าได้ยินว่าถึงแม้ขุนพลชราเย่จะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังไม่เกษียณจากตำแหน่ง ฟงหลิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโลหิตและโลหะจากท่านผู้กล้า ที่ย่อมเกิดขึ้นเพราะผ่านศึกสนามมาโชกโชน ชีวิตนี้ฟงหลินไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงได้บังอาจเอ่ยถาม และก็เป็นขุนพลชราจริงๆ แม้ในอดีตขุนพลชราเย่นำทัพตระกูลเย่สังหารทัพทหารต้าฟงมากมาย แต่สิ่งที่ชาวต้าฟงอย่างข้าชื่นชมสูงสุด คือผู้กล้าที่มีจิตวิญญาณไม่ย่อท้อ” หลังกล่าวจบ ฟงหลิงโค้งคำนับอีกครั้ง

เย่หนู่แค่นเสียงเบาแล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว รัชทายาทฟง ข้าเป็นเพียงหนึ่งในคนที่สาบานว่าจะปกป้องอาณาจักรเทียนหลง ทั้งหมดเป็นเพราะทัพทหารเกรียงไกรของจักรพรรดิองค์ก่อนและขององค์ปัจจุบัน พระองค์บัญชาการอย่างชาญฉลาด ไม่ขลาดแคลนขุนนางทหารผู้กล้าและภักดี ข้าเป็นเพียงผู้ชรามีชีวิตเหลือไม่มาก ไม่อาจรับคำยกย่องของรัชทายาทฟงได้”

คำยกย่องของฟงหลิงเมื่อครู่นี้ เป็นการเปรียบเทียบตระกูลเย่กับราชตระกูลเทียนหลงอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อาณาจักรต้าฟงเกรงกลัวคือตระกูลเย่ไม่ใช่ตระกูลหลง เย่หนู่รู้เหนือใต้ย่อมไม่ต้องการแย่งความเด่นดีจากตระกูลหลง ดังนั้นเขาจึงกล่าวกลบประเด็น

เมื่อเห็นฟงหลิงยกย่องเย่หนู่ถึงเพียงนั้น สีหน้าหลินขวงดูไม่ค่อยปกติดี เขาแค่นเสียงเบา “ขุนพลชราเย่กล่าวถูกต้อง ถ้อยคำของรัชทายาทฟงนั้นกล่าวเกินไป แม้ขุนพลชราเย่จะเป็นผู้กล้าในช่วงปีนั้น อาณาจักรเทียนหลงเราก็ยังมีนักรบกล้าอยู่มากมาย ผู้กล้าที่เทียบเท่าขุนพลชราเย่มีอยู่หลายคน หากท่านคิดว่าอาณาจักรเทียนหลงมีแค่เย่หนู่คนเดียว เช่นนั้น ท่านก็ประเมินอาณาจักรเทียนหลงต่ำเกินไป!”

ถ้อยคำนี้ลบคำยกย่องของฟงหลิงต่อเย่หนู่ รวมทั้งเชิดชูแสนยาของอาณาจักรอย่างลงตัว แม้เย่หนู่จะรู้ชัดว่าเขาจงใจมุ่งเป้าต่อต้าน แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ฟงหลิงเบี่ยงสายตาออกด้านข้าง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป เขาเอ่ยถาม “ใต้เท้าท่านนี้คือ?”

“เขาคือผู้นำชราแห่งตระกูลหลิน ขุนพลชราหลิน” หลงหยินก้าวออกมาเบื้องหน้าและอธิบาย

“ตระกูลหลิน?” ฟงหลิงกล่าวด้วยสีหน้างุนงง “อภัยให้ฟงหลิงที่หูตาคับแคบด้อยประสบการณ์ ในเมืองเทียนหลงข้ารู้จักเพียงตระกูลเย่และตระกูลฮั่ว แล้วตระกูลหลินนี้คือ?”

เมื่อถูกดูหมิ่นหยามหยัน กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลินขวงก็บิดเบี้ยว เขาเกือบตบโต๊ะและพรวดลุกขึ้นยืน เขาแค่นเสียงเบาแล้วกล่าว “ตระกูลหลินของข้าคือหนึ่งในพันตระกูลที่สาบานว่าจะภักดีและอุทิศตนต่อฝ่าบาท ซึ่งไม่อาจประเมินด้วยสายตาเฉียบแหลมของรัชทายาทฟง ข้าเองได้ผ่านขุมนรกมาเช่นกัน ข้าไม่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้า เพียงมีขวัญกล้าบางอย่าง ข้าเองอยากจะถามท่านเช่นกัน รัชทายาทฟง ท่านมายังอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา แท้จริงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

สีหน้าหลงหยินกลายเป็นเคร่งเครียด แต่เขายังไม่เอ่ยคำใด เหล่าขุนนางต่างไร้คำพูด มองว่าฟงหลิงจะตอบสนองอย่างไร จักรพรรดิไม่อาจฉีกหน้ากากของตน แต่หลินขวงได้โอกาสสวมบท “คนชั่ว” ถ้อยคำที่ว่า “มีขวัญกล้าบางอย่าง” เขาได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เกรงกลัวฟงหลิง ต่อให้ถูกจักรพรรดิไล่ออกไป เขาก็ไม่เกรงกลัว

วาจาก้าวร้าวของหลินขวงทำให้สีหน้าของฟงหลิงกลายเป็นเย็นชา เขายกยิ้มมุมปากแล้วกล่าว “อย่างที่ฟงหลิงกล่าวเมื่อครู่ ข้ามาเยี่ยมเยือนอาณาจักรของท่านในครั้งนี้ เหตุผลหลักคือสำรวจความเป็นอยู่และเรียนรู้วัฒนธรรม เพื่อรู้จักเหล่าผู้กล้าและยอดพรสวรรค์ และเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ ขุนพลชราหลินอายุมากแล้ว การได้ยินสมควรมีปัญหา จะเป็นการดีหากท่านลาออกไปพักอยู่บ้านโดยไว”

“ในเมื่อรัชทายาทฟงไม่ได้มีแผนอื่น ท่านก็คือแขกถิ่นจากแดนไกล ท่านจะทำตามกฎของพวกเราที่นี่หรือไม่?” หลินขวงถาม

“ข้าเดาว่ากฎของอาณาจักรต้าฟงและกฎของอาณาจักรเทียนหลงของท่านไม่ต่างกันนัก หากมีกฎใดที่ต่างออกไป ข้าฟงหลิงยินดีทำตาม ข้าจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการลบหลู่ต่อเกียรติของอาณาจักรพวกท่าน” ฟงหลิงกล่าวด้วยสีหน้ารำคาญ

หลินขวงแค่นเสียงเบา “ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ผู้ติดตามของท่านนี้คืออะไร? ก้าวผ่านประตูเทียนหลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้นำอาวุธเข้ามา ท่านกลับยอมให้ผู้ติดตามวางท่านำกระบี่ใหญ่เข้ามาด้านใน นี่หรือที่บอกว่าเคารพกฎของพวกเรา? หรือว่าท่านมีแผนคิดร้ายต่อฝ่าบาท?”

“หุบปากเจ้าซะ” หลงหยินยกมือขึ้นตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “รัชทายาทฟงมาเยือนด้วยมิตรไมตรี ขุนพลชราหลิน วาจาเจ้าหยาบช้ายิ่งนัก” เขาหันไปหาฟงหลิงแล้วกล่าว “ปกติขุนพลชราหลินไม่ใช่คนแบบนี้ โปรดอย่าถือสาเลย”

“ฝ่าบาท! เราจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเฉยๆไม่ได้! ยอมให้นำกระบี่เข้ามาย่อมเป็นอันตรายต่อฝ่าบาท ความผิดนี้เท่ากับก่อกบฏ พวกเราจะยกเว้นเรื่องนี้ได้อย่างไร? ทุกคนที่เข้าวังต้องปลดอาวุธโดยองครักษ์ แต่บุคคลผู้นี้กลับยังสะพายอาวุธมากับตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิกเฉยกฎของพวกเรา ทั้งยังฝ่าฝืนเข้ามา เข้าพบจักรพรรดิยังไม่วางอาวุธลง... แสดงให้เห็นว่าเขามีเจตนาคิดไม่ซื่อ!” หลินขวงตะโกนไม่เก็บงำสิ่งใด ใบหน้าเขามีอารมณ์พุ่งพล่าน



<<<PREV    .    NEXT>>>