วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 168

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 168 ข้าตกลง

ปฏิกิริยาของเย่ฉุ่ยเหยาทำให้เย่หนู่หัวใจสะท้าน เขาพบว่าตัวเองใส่ใจต่อหลานสาวน้อยยิ่งในตลอดหลายปี เขาไม่อาจคุยเรื่องนี้ต่อได้และได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้สิ่งใด เขาต้องคิดว่าจินตนาการไปเพื่อจะได้รู้สึกผิดน้อยลง และเพื่อให้ง่ายขึ้นในการบอกนาง

เย่หนู่ผงกศีรษะ ในที่สุดเขาก็บังคับตัวเองให้พูดเข้าสู่ประเด็น “วันนี้ปู่มีเรื่องบางอย่างจะพูดกับเจ้า” เขามองที่เย่ฉุ่ยเหยาแล้วกล่าวอย่างสงบ “ทุกวันนี้ เมื่อผู้คนชาวทวีปเทียนหลงกล่าวถึงตระกูลเย่ของพวกเรา พวกเขากล่าวชื่นชมในความกล้าหาญและความภักดี แต่มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเมื่อร้อยปีก่อน ตระกูลเย่ของพวกเราเดิมนั้นเป็นกลุ่มโจร ตอนนั้น เมื่อปู่ของข้าประสบหายนะภัย เขาบังเอิญได้พบกับจักรพรรดิเวิ่นเจิ้งและตระกูลซึ่งได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้ ถึงแม้เขาเป็นโจร แต่เขาก็รู้คุณและเป็นบุรุษที่แท้จริง ตอนที่ถูกช่วยไว้เขาได้สาบานว่าทั้งชีวิตจะภักดีต่อตระกูลหลง... ตระกูลเย่ในวันนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากตรงนั้น เขาบอกลูกหลานรุ่นต่อมาว่าหากไม่ใช่เพราะตระกูลหลง เขาย่อมตายไปนาน และตระกูลเย่จะสิ้นสูญสายโลหิต พวกเราตระกูลเย่ต้องรำลึกถึงบุญคุณ ต้องปกป้องตระกูลหลงและอาณาจักรเทียนหลงตลอดไป”

“ปู่ของข้ากล่าวได้ถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะตระกูลหลง เขาคงตายและไม่อาจมีข้าในวันนี้ จะไม่มีเจ้าและเฉินเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน ตระกูลเย่มีวันนี้ได้หลังจากผ่านมาหลายชั่วรุ่น ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลหลงก็นับว่าไม่กล่าวเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเย่รุ่นไหนก็ต้องไม่ลืมความภักดี เพื่อต่อต้านศัตรูภายนอก บุรุษแห่งตระกูลเย่ล้วนกล้าหาญไร้ความเกรงกลัว มุ่งหน้าเข้าสนามรบสร้างแนวป้องกันอันแข็งแกร่ง สตรีแห่งตระกูลเย่ก็เช่นเดียวกับบุรุษในเรื่องความเก่งกล้า... ทุกคนถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งเทียนหลง สืบสานความรุ่งโรจน์ของตระกูลเย่เรา”

เย่ฉุ่ยเหยานิ่งฟังอย่างเงียบงัน เจ็ดในสิบส่วนของหัวใจนางสับสน อีกสามส่วนเป็นความกังวล

“20 ปีก่อน อาณาจักรต้าฟงรุกรานพวกเรา หมายปองจะยึดครองอาณาจักรเทียนหลง พ่อของเจ้าและข้ามุ่งสู่สนามรบพร้อมกันในครานั้น พวกเราไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายของตนเอง การศึกในปีนั้นเสียเปรียบอย่างมาก แต่โชคดีที่สวรรค์ยังเมตตาอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา ทุกครั้งที่พวกเราตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง จะต้องเกิดปาฏิหาริย์ไม่คาดฝันขึ้นทุกครั้ง ในที่สุด พวกเราเอาชนะอาณาจักรต้าฟงและพวกมันต้องถอยหนี สงครามตลอดหนึ่งปีทำให้อาณาจักรต้าฟงสูญเสียอย่างหนัก รวมทั้งอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราด้วยเช่นกัน กระทั่งถึงตอนนี้ พวกเราก็ยังไม่ฟื้นตัวได้สมบูรณ์ หากแต่อาณาจักรต้าฟง... พวกมันฟื้นตัวตั้งแต่เกือบสิบปีก่อน ตอนที่มันพ่ายแพ้ มันไม่ได้ปั่นป่วน แต่รอคอยโอกาสเวลาที่เหมาะสมที่สุด...”

เย่หนู่ถอนหายใจยาว จากนั้นกล่าวเสียงต่ำ “แล้วโอกาสนั้นก็คือเวลานี้”

เย่ฉุ่ยเหยา “..........”

“อาณาจักรคุยชุยเดิมทีเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเทียนหลงและชางหลาน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรต้าฟงโดยไม่มีสัญญานบอกกล่าว แม้ว่าเรื่องนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่เป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นเรื่องจริง หากเป็นเช่นนั้น อาณาจักรเทียนหลงจะอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง ด้วยสามอาณาจักรร่วมถือถึงจะสามารถต้านทานอาณาจักรต้าฟง ขาดคุยชุยเท่ากับแนวป้องกันหายไปมากกว่าครึ่ง พวกเราพึ่งได้รับข่าวเรื่องนี้มา ด้วยความกะทันหันพวกเราไม่อาจคิดหาแผนการใดๆเพื่อรับมือได้ หากเวลานี้พวกเราเริ่มสงคราม อาณาจักรเทียนหลงย่อมร่วงหล่นสู่อันตรายร้ายแรงที่สุดในรอบร้อยปี โอกาสชนะของพวกเรามีน้อยนิด... แม้ว่าที่สุดพวกเราสามารถต้านรับไว้ได้ แต่ราคาความสูญเสียย่อมน่าอนาถใจ ถึงตอนนั้น พวกมันคงย่ำยีเข้ามาในอาณาจักรเทียนหลง เราคงนึกไม่ออกว่าพวกมันจะเหยียบย่ำอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราเลวร้ายถึงปานใด”

“ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?” เย่ฉุ่ยเหยาขัดจังหวะเขาด้วยคำถามเย็นชา

เย่ฉุ่ยเหยาสามารถดูออกถึงความคิดชั่วช้าของตระกูลหลงที่วางแผนต่อตระกูลเย่ ความฉลาดของนางเหนือกว่าผู้อื่นอย่างมาก นั่นคือเหตุผลที่นางหมดกำลังใจและไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโลกสามานย์ เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หนู่ นางฟังออกว่าเย่หนู่มีบางอย่างที่อยากให้นางร่วมมือ เป็นเรื่องใหญ่ที่นางจำต้องทำ และเป็นเรื่องที่ปู่ของนางละอายที่จะพูด

เมื่อสบตากับนาง เย่หนู่เบี่ยงสายตาออกเล็กน้อย พยายามไม่สบตานางโดยตรงโดยไม่รู้ตัว ชั่วชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยติดค้างสิ่งใดกับผู้ใดมาก่อน ตอนนี้เขาถูกลิขิตให้ติดค้างทุกสิ่งกับหลานสาวตนเอง คนที่เขาแทบจะไม่สนใจ “และแล้ว... เคราะห์ดีที่สวรรค์ยังเมตตาอาณาจักรเทียนหลง พวกเราได้รับโอกาสหลีกเลี่ยงหายนะใหญ่ได้ชั่วคราว... และโอกาสของจุดเปลี่ยนสำคัญนี้ขึ้นอยู่กับเจ้า”

เย่ฉุ่ยเหยาร่างกายแข็งค้าง ทันทีนั้นมือเท้าของนางกลายเป็นเย็นเยียบ โอกาสที่ว่ากลับขึ้นอยู่กับสตรี ผู้ที่แทบจะไม่ก้าวเท้าออกจากบ้านของตน นอกจากการแต่งงานเพื่อสันติแล้ว ยังจะเป็นเรื่องใดได้อีก!?

นางจำบุรุษแปลกหน้าที่มีลักษณะโดดเด่นเหนือธรรมดาตอนเมื่อวาน แม้ว่านางจะมองเขาอย่างไม่แยแส นางก็จำสีหน้า , ความตื่นเต้น , ความหลงใหล และความตื่นตะลึงของเขาได้.... นางเคยเห็นสีหน้าแบบนั้นมาแล้วหลายครั้ง และนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่นางไม่คิดจะออกไปไหน นางรู้ว่าเป็นเพราะเสน่ห์ของนาง นางรังเกียจบุรุษทุกคนที่มองนางด้วยสายตาแบบนั้น ยกเว้นผู้หนึ่งคือเย่หวูเฉิน ทุกครั้งที่เขามองมาที่นาง เขาจะเผยสีหน้าตะลึงชื่นชมที่ต่างออกไป ไม่เพียงนางไม่ปฏิเสธมัน นางยังรู้สึกยินดีที่ถูกเขามอง บางทีอาจเป็นเพราะสายตาคู่นั้น หัวใจของนางจึงค่อยๆร่วงหล่นสู่หุบเหวที่อันตราย

เย่หนู่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปชัดของเย่ฉุ่ยเหยา เขารู้ว่านางคงพอคาดเดาออก ดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อ “เมื่อวานนี้ ชายหนุ่มที่มาเยี่ยมเยือนคือรัชทายาทแห่งต้าฟง..ฟงหลิง เดิมทีเขามาเยือนเพื่อยื่นสานส์ประกาศสงครามแทนบิดา แต่หลังจากที่เขาเห็นเจ้าตอนเมื่อวาน เขาเปลี่ยนใจและบอกออกมาอย่างชัดเจน ว่าถ้าหากพวกเรายกเจ้าให้กับเขา เขาจะเลื่อนสงครามออกไปอีกห้าปี... ห้าปีไม่เพียงเป็นเวลาแห่งความสงบ แต่มันยังจะช่วยเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของอาณาจักรเทียนหลง!”

เย่ฉุ่ยเหยากัดริมฝีปากแน่น ร่างของนางไหวเอนเล็กน้อยราวจะพังพาบลง นางไม่ใช่สตรีทั่วไปโดยแท้  ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด แม้ต่อให้เป็นราชตระกูล นางก็จะปฏิเสธโดยไร้เยื่อใย แต่ครั้งนี้ นางไม่สามารถปฏิเสธได้... ชะตาของหนึ่งคนกับชะตาของอาณาจักร แม้นางไม่อยากยอมรับกว่านี้พันเท่า แต่เหลือทางเลือกอื่นใดให้กับนาง? ตระกูลเย่ไม่เคยเจ็บปวดเพราะถูกรังแกหรือเหยียดหยาม แต่ตอนนี้เย่หนู่มาเกลี้ยกล่อมนางด้วยตนเองให้ยอมรับอาณาจักรต้าฟงที่นางเกลียดมาทั้งชีวิต... ไม่เพียงนางเท่านั้น ทุกผู้คนล้วนไม่เหลือทางเลือกอื่นใด

หากมีทางอื่นที่สามารถพลิกผันสถานการณ์ พวกเขาจะยอมปล่อยให้ตระกูลเย่เสียสละลูกสาวของตนได้อย่างไร?

เมื่อเห็นนางไม่กล่าวคำปฏิเสธเย็นชา เย่หนู่จึงโล่งใจแล้วกล่าว “ฟงหลิงยังบอกอีกว่าหากเจ้าแต่งงานเข้าสู่ตระกูลฟง เขาสัญญาว่าจะตั้งเจ้าให้เป็นอัครชายา ในภายภาคหน้า เจ้าจะกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรต้าฟง เขาจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด เหยาเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจที่ปู่พูดใช่หรือไม่?”

เย่ฉุ่ยเหยาหมุนกายแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ นางนั่งลงอย่างไร้หนทาง สีหน้าของนางระส่ำระส่าย ทั้งสับสนและเจ็บปวดใจ... เบื้องหน้าของนางเป็นภาพดอกบัวคู่บนก้านเดียวที่วาดเสร็จเพียงครึ่งเดียว ก้านกับใบนั้นวาดเสร็จแล้ว ทั้งสดใสและมีชีวิตชีวา แต่ดอกบัวขาวยังมีเพียงหนึ่ง มันเบ่งบานอย่างงดงามและเศร้าสร้อย

เมื่อเย่หนู่มองที่ร่างบอบบางของนาง เขารู้สึกเจ็บปวด “ปู่รู้ว่าเรื่องนี้โหดร้ายกับเจ้านัก แต่พวกเราไร้ทางเลือกอื่นอีก สมาชิกตระกูลเย่ทุกคนล้วนเป็นผู้กล้า เพื่ออาณาจักรยอมสละตนไม่สนใจชีวิตและความตาย ธรรมชาติของเจ้าเป็นคนเย็นชา เดิมทีพวกเราคิดไว้ว่าจะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตสันติสุขตามที่เจ้าต้องการ  เราไม่ยอมให้เจ้าพบเจอความโหดร้ายในชีวิต แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เจ้าเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นกัน... มันคือชะตาของพวกเราตระกูลเย่ ครั้งนี้ การตัดสินใจของเจ้าจะตัดสินความเป็นตายของทั้งอาณาจักรเทียนหลง!”

เย่ฉุ่ยเหยาบีบมือแน่น ริมฝีปากซีดขาวด้วยแรงกัด นางจะไม่เข้าใจคำพูดของเย่หนู่ได้อย่างไร? หากไม่ใช่สถานการณ์นี้ ต่อให้เขาเป็นปู่นางก็จะปฏิเสธ แต่นางไม่ใช่สตรีที่ไม่เข้าใจภาพรวม ในสถานการณ์ตอนนี้ คำปฏิเสธของนางนั้นไม่ใช่ทางเลือก หากนางยอมรับ นางจะสามารถช่วยทั้งอาณาจักรให้รอดพ้นจากหายนะภัย หากนางปฏิเสธ...ในเงื่อนไขที่ว่านางมีสิทธิ์ทำ นางย่อมถูกตราหน้าในประวัติศาสตร์และถูกผู้คนประณาม ไม่มีผู้ใดที่ให้อภัย แม้แต่ตระกูลเย่ก็จะถูกหยามเหยียดด้วยเพราะนาง ในโลกนี้ ผู้ที่เห็นแก่ตัวมีอยู่มากนัก พวกเขาห่วงแต่ความปลอดภัยของตัวและคงไม่สนความเจ็บปวดของนางที่ต้องแต่งกับชาวต้าฟง เย่ฉุ่ยเหยาไม่ใช่สตรีสูงส่ง นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่มีความปรารถนาเห็นแก่ตัว นางไม่อาจเปิดใจได้เหมือนองค์หญิงเจ้าจุนที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน

(โน๊ต: องค์หญิงเจ้าจุนผู้งดงามถูกส่งไปแต่งงานต่างอาณาจักร และมีความสุขหลังจากนั้นตลอดไป)

ทุกขณะนาทีเคลื่อนผ่าน ความเงียบงันช่างน่ากลัว มีเพียงเสียงสองหัวใจที่เต้นดังในจังหวะที่ต่างกัน รอคอยอยู่ยาวนาน เย่หนู่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากเย่ฉุ่ยเหยา นางเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น เงียบงันด้วยแววตาไร้ชีวิต ราวกับว่าร่างกายได้สูญเสียวิญญาณ

“เจ้าคือลูกหลานตระกูลเย่ หากเจ้ายอมรับ พวกเราตระกูลเย่จะภาคภูมิใจในตัวเจ้า หากเจ้าปฏิเสธ จะไม่มีผู้ใดบังคับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องบังคับฝืนใจตัวเอง” ในที่สุดเย่หนู่ก็เอ่ยขึ้น เขาเป็นห่วงว่า ด้วยอุปนิสัยของนาง หากนางไร้ทางออกและตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายขึ้นมา นั่นจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจไถ่ถอนคืน

เขาหันกายแล้วก้าวออกไปด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง เย่ฉุ่ยเหยายังคงหันหลังให้เย่หนู่ด้วยความเงียบงัน แต่ตอนนี้ ใบหน้าของนางนองเต็มไปด้วยน้ำตา

“ข้าตกลง....”

เย่หนู่กำลังจะออกจากห้อง ขณะที่มือดันประตูออกก็ได้ยินเสียงสั่นเครือของเย่ฉุ่ยเหยา บางเบาจนแทบไม่ได้ยิน เขาหยุดเท้า พยักหน้าเล็กน้อย ก้าวออกไปช้าๆแล้วปิดประตูเงียบงัน ตอนนี้ดวงตาของเขาเปียกชุ่ม

เย่ฉุ่ยเหยาซบลงบนโต๊ะของนาง หัวไหล่สั่นสะท้านอย่างหนัก ภาพวาดบนโต๊ะเปียกไปด้วยหยดน้ำตา นางปิดกั้นตัวเองมาตลอดหลายปีเพราะนางเป็นกังวลต่อชะตาของตระกูลเย่ นางปฏิเสธไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมืองเพราะมันทำให้นางรู้สึกขยะแขยง นางไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว นางจะกลายเป็นแกะที่ถูกบูชายัญ หากเย่หวูเฉินไม่ได้กลับมา นางก็ยังคงตกลงเช่นเดิม แต่นางคงไม่ต้องร้องไห้อย่างเงียบเหน็บหนาวและเพียงรอให้ชะตามาถึง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางร้องไห้อย่างเศร้าโศกไม่อาจยับยั้งอารมณ์ การที่นางยอมรับอย่างรวดเร็วเพราะนี่คือการหนีของนาง บางทีการจากไปตลอดกาล , ไปจากตระกูลเย่ , ไปจากอาณาจักรเทียนหลง อาจทำให้นางลืมเลือนความรู้สึกที่ไม่สมควร และด้วยวิธีนี้นางจะได้ไม่ต้องทำลายชีวิตของเย่หวูเฉิน

เมื่อเย่หนู่ไปเกลี้ยกล่อมเย่ฉุ่ยเหยา เย่เว่ยก็ไปเกลี้ยกล่อมหวังเวิ่นชู สตรีมีอารมณ์อ่อนไหว หัวใจของพวกนางเปราะบางยิ่งกว่าชาย แต่หวังเวิ่นชูไม่ใช่สตรีธรรมดา เมื่อเย่เว่ยบอกทุกสิ่งแก่นาง นางจ้องมองว่างเปล่าอยู่นาน จากนั้นอ้อนวอนให้เย่เว่ยปฏิเสธ แต่เย่เว่ยทำได้เพียงกล่าว “แม้ว่าเหยาเอ๋อร์ไม่อาจกลับมาที่ตระกูลเย่ได้อีก อาณาจักรเทียนหลงจะจดจำชื่อของนาง หากว่านางแต่งออกสู่อาณาจักรต้าฟง แต่หากนางไม่แต่งออก นางจะเจ็บปวดเพราะถูกเหยียดหยามจากผู้คน และตระกูลเย่จะถูกประณามด้วยเช่นกัน หากอาณาจักรเทียนหลงถูกรุกราน ไม่เพียงนางจะไม่ได้แต่งออก แต่นางยังจะถูกชิงตัวไป”



<<<PREV    .    NEXT>>>