วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 139

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 139 หมั้นหมาย

วังหงส์เหิน

เย่หวูเฉินดันประตูเปิดออกเงียบๆ จากนั้นเดินเข้าไปในห้องนอนของหลงฮวงเอ๋อร์โดยไร้เสียง เขาเห็นร่างเล็กๆหันหน้าไปอีกทางและนั่งอยู่บนเตียง ศีรษะนางก้มต่ำไหล่เคลื่อนขยับเล็กน้อย ไม่ทราบว่านางกำลังทำอะไร เย่หวูเฉินเข้าไปเงียบๆจนอยู่ข้างหลังนาง เขามองสำรวจสิ่งที่อยู่มือนางแล้วเอ่ยเรียกเสียงเบา “ฮวงเอ๋อร์”

“อ๊า!” หลงฮวงเอ๋อร์ตกใจราวกับถูกกระแสไฟ นางยืดนั่งหลังตรงจากนั้นรีบซ่อนของในมือไว้เบื้องหลัง “ท่าน...ท่านทำให้ข้าตกใจ”

“ฮวงเอ๋อร์ เจ้าซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง? ขอข้าดูหน่อยสิ?” เย่หวูเฉินถามยิ้มๆ

“ไม่...ท่านดูไม่ได้” หลงฮวงเอ๋อร์ถอยหลังบังของสิ่งนั้นไว้มิด จากนั้นนางกล่าวน้ำเสียงน่าสงสาร “ข้าจะให้ท่านดูหลังจากทำเสร็จแล้ว...อ๊า!” หลงฮวงเอ๋อร์อุทานอย่างเจ็บปวด นางเม้มปากน้ำตาคลอเบ้าจนเกือบไหลออกมา

เย่หวูเฉินรีบเข้าหาแล้วค่อยๆดึงมือนางออกมา มือซ้ายนางถือผ้าปักสีขาว ส่วนมือขวาถือด้ายและเข็ม หยดเลือดค่อยๆไหลออกมาจากนิ้วน้อยๆของนาง เพราะความตกใจ นางจึงเผลอทิ่มเข็มโดนนิ้วตัวเอง

“ดูเจ้าสิ โตป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักระวัง เจ้าจับท่าไหนกัน นิ้วถึงได้...” เย่หวูเฉินจับนิ้วอย่างอ่อนโยนพร้อมกับดุว่านาง

สัมผัสอบอุ่นแผ่ครอบแผลบนนิ้ว ความรู้สึกเจ็บปวดหายไปในพริบตา นางก้มศีรษะแล้วกล่าว “เวลาว่าง ข้าก็อยากหัดเย็บปักเพื่อแก้เบื่อบ้าง”

ผ้าเช็ดหน้าปักสีขาวผืนนั้นมีลายเส้นบิดๆเบี้ยวๆอยู่ เห็นได้ชัดว่านางพึ่งหัดทำ ลวดลายเป็นปุ่มปมน่าอนาถต่อสายตา เย่หวูเฉินไม่อยากทำให้นางเสียกำลังใจ เขากล่าว “ถ้างั้น...พอฮวงเอ๋อร์ทำเสร็จแล้ว นางจะเอาให้ข้าดูใช่หรือไม่?”

“อื้ม แน่นอนว่าข้าต้อง...” นางกล่าวได้ครึ่งประโยคแล้วชะงักฉับพลัน สีหน้านางเปลี่ยนเล็กน้อยขณะเอ่ยถาม “วันนี้พวกเราจะออกไปเล่นกันไหม?”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะแสดงความเสียใจ จากนั้นกล่าวนุ่มนวล “ฮวงเอ๋อร์ หลายวันต่อจากนี้ ข้าต้องไปยังที่ที่ไกลมาก พอพ้นช่วงนั้นไปแล้วข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน ดังนั้นข้ามาอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้าต้องอดทนรอข้ากลับมา ตกลงมั้ย?”

หลงฮวงเอ๋อร์ดวงตาพร่าไหว นางรีบเอ่ย “ท่านจะไปที่ไหน? ไม่ไปไม่ได้หรือ?”

“มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะรีบกลับมา เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะพาเจ้าออกไปเล่นทุกวัน ตกลงนะ?”

“แล้ว ท่านจะไปเมื่อไหร่?” หลงฮวงเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยไม่เต็มใจ

“พรุ่งนี้เช้า”

“พร่งนี้เช้า... ถ้างั้นท่านต้องรีบกลับมาไวๆ ถ้าท่านกลับมาช้า ข้า...ข้าจะโกรธท่าน!” หลงฮวงเออร์ดึงมือที่ถูกเขาจับแล้วคว้าเขาไว้ ตอนนี้นางลืมไปแล้วว่านิ้วนางเคยถูกเข็มทิ่ม

“ตกลง ตกลง ข้าจะรีบกลับมา” เย่หวูเฉินลูบแก้มของนาง หลงฮวงเอ๋อร์คือที่ผู้ที่เขากังวลอันดับรองลงมา

เย่หวูเฉินมีหลายสิ่งที่ต้องเตรียมการ ดังนั้นเขาไม่รั้งอยู่ที่วังหงส์เหินนาน มองดูเขาจากไป หลงฮวงเอ๋อร์รู้สึกเศร้าลึกถึงในใจ ทั้งปรารถนาและฝืนใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าโลกนี้จะเปลี่ยนในพริบตา สิ่งไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นยามที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว เมื่อพวกเขาจากกันครั้งนี้ ครั้งต่อไปที่จะได้พบกันคือสามปีข้างหน้า

....................สวัสดี นี่คือเส้นแบ่งหน้า....................

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ บุคคลแรกที่เขาเห็นคือฮั่วเจิ้นเทียนผู้ที่มารออยู่นาน เย่หวูเฉินปรับสีหน้าแล้วถาม “ท่านพ่อตา มีอะ...”

“พ่อตาไหน!? ใครเป็นพ่อตาเจ้า?” ฮั่วเจิ้นเทียนกล่าวเคร่งเครียด แค่นเสียงหยาบคาย

เย่หวูเฉินนิ่งเงียบชั่วขณะหนึ่ง ครุ่นคิดว่าเหตุใดฮั่วเจิ้นเทียนถึงอารมณ์เสีย ทั้งที่เดิมทีเขาเป็นคนสั่งเย่หวูเฉินให้เรียกเขาว่าพ่อตา

“มี...เรื่องอะไรที่เย่หวูเฉินทำให้ท่านโกรธ?” เย่หวูเฉินถามอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็คอยสังเกตสีหน้าของฮั่วเจิ้นเทียนอย่างสงบเสงี่ยม

“เฮอะ!” ฮั่วเจิ้นเทียนแค่นเสียงเย็นชาแล้วกล่าว “เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เจ้าไม่อาจเรียกข้าว่าพ่อตาได้! ในเมื่อเจ้าชอบพอลูกสาวข้า ไม่เพียงยังไม่แต่งงานกัน กระทั่งการหมั้นก็ยังไม่มี เจ้าใช้สิทธิ์อะไรมาเรียกข้าว่าพ่อตา?”

เย่หวูเฉินพลันรู้สึกตัวว่าฮั่วเจิ้นเทียนผู้นี้ตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก เขารีบตอบกลับ “ท่านพูดถูก พ่อตา หากท่านไม่รังเกียจ ให้ฉุ่ยโหรวกับข้าหมั้นกันวันนี้เลยเป็นอย่างไร?”

ฮั่วเจิ้นเทียนเบิกดวงตาวัวจ้อง ใบหน้าหนาใหญ่เคลื่อนประชิดแล้วกล่าว “จริงเหรอ?”

“จริงแน่นอน ข้าจะกล้าล้อเล่นพ่อตาของข้าได้อย่างไร” เย่หวูเฉินกล่าวเคร่งขรึม

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ประเสริฐ ประเสริฐ! ตอนนี้ฟังเจ้าเรียกข้าว่าพ่อตาแล้วค่อยลื่นหูหน่อย! ลูกสาว...ยอดยาหยี ออกมาเร็วเข้า สหายน้อยผู้นี้อ้อนวอนข้าให้รีบจัดการหมั้นหมายกับเจ้า เร็วเข้า ออกมาเร็ว” ฮั่วเจิ้นเทียนรีบห้อออกจากห้องโถงแล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น ราวกับพึ่งโชคดีพบทองก้อนโต

ฮั่วฉุ่ยโหรวกับหวังเวิ่นชูที่คุยกันตามลำพังเดินออกมาด้วยกัน ฮั่วเจิ้นเทียนโยกสะบัดเอวต้อนรับ “ฮูหยินเย่ เมื่อครู่นี้สหายน้อยอ้อนวอนข้าให้รีบจัดการหมั้นหมาย ข้าฝืนใจตกลงไปแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าและน้องเย่จะตัดสินใจ ดูพวกเขาสิ ตอนนี้พวกเขาโตๆกันแล้ว ลูกสาวข้ามีชื่อเสียงเลื่องกระฉ่อนไปทั่วเมืองเทียนหลง แม้ว่าเจ้าจะมั่นใจพอ แต่ในฐานะบิดาข้าไม่มั่นใจ ดังนั้นจะเป็นการดีหากพวกเราจัดการให้เรียบร้อยในตอนนี้ เจ้าว่าไง...”

บุตรชายนางเนี่ยนะขอร้องเขา? หวังเวิ่นชูกรอกตามองบน จากนิสัยเขา คนที่อ้อนวอนสมควรเป็นเขาเสียมากกว่า ลูกสาวของเขามีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่บุตรชายนางมีชื่อเสียงเลิศล้ำยิ่งกว่า ลูกสาวตระกูลใดบ้างที่ไม่ร้องไห้เพราะไม่ได้แต่งงานกับเขา?

เย่เว่ยบังเอิญผ่านเข้ามาและได้ยินถ้อยคำ ดังนั้นเขาจึงตอบ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ตกลง ในเมื่อเฉินเอ๋อร์กำลังจะเดินทางไกล ย่อมเป็นการดีที่จะมีเรื่องมงคลสร้างขวัญกำลังใจ เนื่องจากฝ่าบาทรับสั่งไว้ก่อนหน้า ดังนั้นพวกเรามาจัดการด้วยวาจาก่อนเป็นอย่างไร?”

“ประเสริฐ! นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังคิดอยู่พอดี ถ้าอย่างนั้น...” ฮั่วเจิ้นเทียนหยุดชะงัก จากนั้นเสียงของเขาพลันเบาลงหลายระดับ “พูดถึงเรื่องการหมั้น มันต้องทำยังไงบ้าง?”

เขาเป็นบุรุษหยาบคายโดยแท้จริง... หวังเวิ่นชูลอบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นขยับเข้าใกล้ฮั่วฉุ่ยโหรวที่ตกแต่งหน้ามาแล้วเรียบร้อย “ฉุ่ยโหรว ทั่วทั้งเมืองเทียนหลง ข้าไม่อาจหาลูกสะใภ้คนใดที่ทำให้ข้าอุ่นใจได้เท่ากับเจ้า เฉินเอ๋อร์ได้แต่งกับเจ้าถือว่าเป็นวาสนายิ่งนัก”

“ท่านป้า” ฮั่วฉุ่ยโหรวเอ่ยเสียงเบา

หวังเวิ่นชูยิ้มเรียบง่าย นางชมชอบลูกสะใภ้คนนี้ขึ้นเรื่อยๆ นางดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วค่อยๆถอดกำไลสีเข้มออกจากข้อมือนาง เย่หวูเฉินเคยสังเกตกำไลวงนี้มาก่อน หวังเวิ่นชูมักสวมอยู่ตลอดเวลาและไม่เคยถอดออก ด้วยฐานะของตระกูลเย่ กำไลวงนี้ดูหยาบกร้านเกินไป แม้แต่วัสดุที่ใช้ยังทำมาจากโลหะคุณภาพสูงทั่วไป เย่หวูเฉินทราบได้เพียงปราดตาว่าหวังเวิ่นชูทะนุถนอมมันมาก กำไลวงนี้ย่อมมีเรื่องราวเบื้องหลัง

“กำไลวงนี้เดิมทีเป็นของย่าของเฉินเอ๋อร์ ในปีที่ปู่ของเฉินเอ๋อร์เข้ารบพุ่งในสมรภูมิ เขาไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลาหลายปี ย่าของเฉินเอ๋อร์รักเขาอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้น นางทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังยอมทนยากลำบาก เดินทางพันลี้เพียงลำพังจนพบปู่ของเฉินเอ๋อร์ในสนามรบ ในตอนนั้น ผู้คนต่างซาบซึ้งกับความตั้งมั่นของนาง ทหารนายกองมากมายเป็นสักขีพยาน พวกเขาทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากันในสนามรบ ของหมั้นแทนใจเพียงสิ่งเดียวคือกำไลวงนี้ ซึ่งปู่ของเฉินเอ๋อร์สร้างขึ้นด้วยตนเองจากโลหะคุณภาพสูง หลังจากนั้น เขากลับสู่มาตุภูมิพร้อมชัยชนะ ตระกูลเย่ทั้งหมดล้วนยินดี ย่าของเฉินเอ๋อร์ไม่สนใจสมบัติล้ำค่าใดๆ ข้อมือนางสวมใส่กำไลลงนี้ตลอดเวลา เพราะมันคือสมบัติล้ำค่าสูงสุดที่นางได้รับในชีวิตนี้ ภายหลังต่อมาก่อนที่นางจะตาย นางได้มอบกำไลวงนี้ให้ข้าและกล่าวว่า มีเพียงสะใภ้ตระกูลเย่เท่านั้นที่สามารถสวมใส่มัน”

นางดึงมือของฮั่วฉุ่ยโหรวเข้ามาใกล้ๆ แล้วสวมกำไลให้นางอย่างอ่อนโยน ฮั่วฉุ่ยโหรวลูบสัมผัสอย่างแผ่วเบา ดวงตานางฉายแววมุ่งมั่น “ท่านป้า ข้าจะสวมมันไว้ตลอดไป จนกว่า...”

“เจ้าได้สวมมันแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าคือสะใภ้ของตระกูลเย่ ยังจะเรียกข้าว่าท่านป้าอีกหรือ?” หวังเวิ่นชูกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทั่วใบหน้าของฮั่วฉุ่ยโหรวแดงผ่าว นางอายมากและบิดชายเสื้อของตัวเอง นางกล่าวเสียงแผ่ว “ท่านแม่...”

ก่อนที่หวังเวิ่นชูจะทันได้แสดงความสุข ฮั่วเจิ้นเทียนถูฝ่ามือและหัวเราะเสียงดัง “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม! งั้นตอนนี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี...”

“อะแฮ่ม” หวังเวิ่นชูแสร้งกระแอมไอ จากนั้นกล่าว “ญาติข้า ท่านยังไม่ได้มอบของหมั้นสัญญาแห่งตระกูลฮั่ว”

เสียงหัวเราะของฮั่วเจิ้นเทียนหยุดชะงักราวมีหินติดคอ เขาจ้องอย่างโง่งมแล้วทุบศีรษะด้วยความอับอาย “ดูข้าสิ ข้ากลับลืมเอามันมาด้วยตอนออกจากบ้าน ข้าจะรีบกลับไปเอามันมาเดี๋ยวนี้”

บัดซบแล้ว จะเอาสิ่งใดเป็นของหมั้นดี? หรือจะสร้างกำไลขึ้นมา แล้วค่อยแต่งเรื่องราวให้มัน

“พ่อตา ท่านไม่ต้องกลับไปหรอก ที่จริงฉุ่ยโหรวได้มอบของแทนใจให้ข้าไว้แล้ว” เย่หวูเฉินเรียกฮั่วเจิ้นเทียน จากนั้นดึงขลุ่ยหยกเขียวออกจากแขนเสื้อ “โฉมสะคราญมอบขลุ่ยของตน โดยทั่วไปหมายถึงการแสดงความชอบพอของหญิงสาว ของแทนใจที่ฉุ่ยโหรวมอบให้ข้า ข้าย่อมเก็บไว้ข้างกายเสมอ”

“อืม...เยี่ยม ยอดเยี่ยม เอาละ ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยด้วยดี ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า มา มา! ญาติข้า เราไปหาอะไรดื่มกัน โอกาสมงคลเช่นนี้จะไม่ดื่มฉลองได้อย่างไร วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา!” ฮั่วเจิ้นเทียนขะมักเขม้นกอดไหล่ของเย่เว่ย หัวเราะเสียงดังแล้วตรงไปห้องโถง เย่เว่ยยิ้มบูดเบี้ยวยิ่งกว่าร้องไห้ ดื่มกับฮั่วเจิ้นเทียน? นี่มันทารุณกันเกินไปแล้ว!?

“โอ้ ใช่” จู่ๆฮั่วเจิ้นเทียนก็หันร่างกลับแล้วกล่าวคลุมเครือ “พวกเจ้าสองคนก็ไม่ใช่เด็กกันแล้ว แม้ว่าพวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกันเป็นทางการ บางเรื่อง...พวกเจ้าจะทำก็ได้หากต้องการ... ข้าเดาว่าญาติของข้าคงอยากอุ้มหลานไวๆ... อืม ไปเถอะ ไปดื่มกัน”

เย่หวูเฉิน “.......”

ฮั่วฉุ่ยโหรว “.......”

หวังเวิ่นชู “.......”

อยากที่คาดไว้ เพียงไม่นานฮั่วเจิ้นเทียนก็เดินออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจ เขาพาฮั่วฉุ่ยโหรวกลับบ้านด้วยกัน ส่วนเย่เว่ยนอนแผ่สลบเหมือดอยู่บนพื้น ดูเหมือนเขาคงเข้าร่วมประชุมในเช้าวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว

ก่อนที่พวกเขาจะออกไป ด้วยความมึนเมา ฮั่วเจิ้นเทียนยื่นหน้ามาข้างหูของเย่หวูเฉิน หัวเราะชอบกลแล้วกล่าว “ข้าดูเจ้าออกนานแล้ว สหายน้อย เจ้าถูกขีดชะตาให้มีภรรยาหลายคน ตอนนี้พูดยากว่าเจ้าจะไม่พาสาวอื่นกลับมา... ดังนั้นข้าเลยต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน ลูกสาวข้าต้องเป็นคนแรก ต่อให้เป็นองค์หญิงก็ต้องยืนอยู่ด้านข้าง”

“เฉินเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้เขาแอบบอกอะไรเจ้าหรือ?” เมื่อฮั่วเจิ้นเทียนจากไป หวังเวิ่นชูก็ถามเงียบๆ

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่” เย่หวูเฉินตอบด้วยเหลือทางเลือกไม่มาก เขาเตรียมหันกายหลบหนี  “ปัญหาที่ทั้งไม่ใหญ่หรือเล็ก กำลังใกล้เข้ามา”

“ปัญหา?” หวังเวิ่นชูงุนงง

เพียงสิ้นเสียงของเขา ประตูหลักที่พึ่งปิดก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง เผยใบหน้าที่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นเย่หวูเฉินอยู่กลางสวน สายตานางเป็นประกายแล้ววิ่งเข้ามาด้านในอย่างตื่นเต้น นางคือชูเกอเสี่ยวหยู

เย่หวูเฉินรู้สึกได้ว่าหวังเวิ่นชูตัวสั่นอย่างชัดเจน นางชะงักขณะหนึ่งแล้วกล่าวเสียงแผ่ว “เฉินเอ๋อร์ ในฐานะผู้ใหญ่ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องของคนหนุ่มสาว ข้าจะไปดูพ่อของเจ้าก่อน”

นางรีบหันกายจากไป เย่หวูเฉินถูกทิ้งไว้อย่างหมดทางเลือกและหมดสิทธิ์ถาม เขามีประสบการณ์หวาดผวาจากดรุณีบ้ารักนางนี้มาแล้ว

ดูเหมือน...เขาคงต้องใช้ลูกไม้ที่หยาบช้ายิ่งกว่าเดิม



<<<PREV    .    NEXT>>>