วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 146

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 146 พบกันอีกครั้ง

ทวีปเทียนเฉินไม่ใช่เพียงทวีปของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นทวีปของของสัตว์อสูรด้วยเช่นกัน พวกมันมีถิ่งเขตอาศัยของตน บรรดาอาณาจักรทั้งสี่แห่งเทียนเฉินต่างมีพื้นที่ต้องห้าม ไม่เพียงเป็นฐานที่มั่นตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่ยังเป็นดินแดนของสัตว์อสูร พวกมันไม่ล่วงล้ำดินแดนมนุษย์ แต่หากถูกมนุษย์คุกคาม พวกมันย่อมตอบโต้ พื้นที่ต้องห้ามไม่เพียงมีสัตว์ธรรมดาเช่น หมาไน , หมาป่า , พยัคฆ์ , เสือดำ แต่ยังมีสัตว์อสูรแข็งแกร่งที่แม้แต่ยอดฝีมือสูงส่งยังไม่กล้ากล้ำกราย

ป่าเบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่พื้นที่ต้องห้าม ในป่าแม้มีสัตว์อยู่มากแต่ส่วนใหญ่ต่างรักสงบและเป็นสัตว์ธรรมดา มีข่าวลือว่าบางคนเคยเจอสัตว์อสูรแข็งแกร่งในป่าแห่งนี้ จะเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวง ไม่มีใครมั่นใจเต็มร้อย โดยปกตินอกเหนือเขตแดนอันตราย สัตว์อสูรเกินระดับ7นั้นยากที่จะพานพบ แต่หากมีพวกมันสักตัว ถิ่นของมันจะกินอาณาบริเวณกว้าง ราวกับเจ้าเมืองผู้ปกครองนคร

ขณะก้าวเข้าไปในป่า ม้าของพวกเขาตื่นตัวถึงอันตรายและชะงักเท้าเล็กน้อย ฟ้าสลัวหลังตะวันตกดิน เหล่าแมลงและนกร้องระงมในป่า บางทีในป่าแห่งนี้อาจมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เมื่อมีทงซินอยู่ข้างกาย เขาไม่จำเป็นต้องห่วงกังวล พวกที่ต้องกลัวคือฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรใดที่คิดทำร้ายพวกตน สตรีเทพพิโรธไม่รู้จักคำว่าปราณี ตราบที่เย่หวูเฉินชี้นิ้วส่งสายตา นางจะพลิกนรกส่งพวกมันโดยไม่ลังเล

พวกเขาตรงเข้าไปขณะที่ฟ้าเริ่มมืด เวลานี้เองมีเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังมาจากเบื้องหน้า แม้เสียงดังมาอย่างห่างไกล มันยังทำให้ใบไม้แห้งบนต้นสั่นกราว แน่นอนนั่นย่อมไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา ม้าที่เขานั่งอยู่ยกเท้าคู่หน้าแล้วหยุดเดิน มันตัวสั่นด้วยความกลัว เหมือนพร้อมร่วงล้มทุกเวลา

เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้น อุ้มสาวน้อยสองคนลงจากหลังม้า เขาทิ้งม้าแล้วก้าวไปข้างหน้า “ไปดูกันเถอะ”

ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยรึ... มาถึงครั้งแรกก็เจอสัตว์อสูรในตำนาน?

แต่เรื่องบัญเอิญก็เกิดขึ้นจริง นอกจากบังเอิญเจอสัตว์อสูรในตำนาน ยังบังเอิญเจอนางเซียนด้วยอีกคน เมื่อเย่หวูเฉินเห็นนาง ชุดขาวของนางก็เปื้อนไปด้วยเลือด นางเดินซวนเซหลบอยู่หลังต้นไม้ ขณะที่เผชิญกับสัตว์อสูรตัวโต

ตอนที่นางแสดงทักษะ เขาพบว่านางมีพลังระดับ9ชั้นกลาง ด้วยวัยเพียงเท่านี้ทั้งยังเป็นสตรี ผู้คนย่อมอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม แต่เห็นได้ชัดว่ายังไม่พอต่อกรสัตว์อสูรตัวนี้ นางทั้งโชคดีและโชคร้าย โชคดีของนางคือได้พบกับสัตว์อสูรหายาก ส่วนโชคร้ายคือนางกระตุ้นโทสะมันโดยไม่ตั้งใจ แม้ตัวตนของนางสูงส่งเหนือล้ำ แต่ประสบการณ์นับว่าอ่อนด้อย วัยของนางใกล้ครบ20 ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ย่างเท้าออกจาก “ประตูหลักตระกูล”

สัตว์อสูรทั่วร่างเป็นสีน้ำตาลเข้ม ตัวสูงกว่าสามเมตร บนหัวมีเขาสีเทาเพียงหนึ่งอัน ดูคล้ายหมีแต่ก็ไม่ใช่ เมื่อมันฟาดกรงเล็บหนาลงกับพื้น ผืนดินก็สั่นสะเทือน ต้นไม้รอบๆสั่นเขย่าแทบล้มลง คลื่นฝุ่นดินปลิวกระแทกนาง อสูรเขาเดียวคำรามแล้วพุ่งร่างใหญ่โตเข้าหา ดวงตาวาบแสงกางกรงเล็บใหญ่เล็งที่ร่างนาง ดวงตาสตรีเบิกโพลง แววสิ้นหวังวาบผ่านดวงตา

เย่หวูเฉินไม่มีเวลาคิด เขาใช้ความเร็วสูงสุดทะยานร่างถึงนางก่อนสัตว์อสูรเขาเดียว โอบนางด้วยแขนแล้วเหินร่างหลบ เขาวางนางลงข้างต้นไม้แล้วนำกระบี่หิมะออกมา จากนั้นฟาดฟันอสูรเขาเดียว

สตรีบาดเจ็บและไม่ทันระวัง นางถูกโอบกอดโดยบุรุษ นางหมดสติด้วยความโกรธก่อนจะได้เอ่ยคำ

โฮก!!

อสูรเขาเดียวโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก มันเหวี่ยงกรงเล็บใส่ร่างของเย่หวูเฉิน คลื่นอากาศกรีดใส่ร่างเจ็บปวดราวถูกเฉือนด้วยกระบี่คม เขารู้ดีว่าแม้มีกระบี่หิมะในมือ แต่หากฝืนดึงดันย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อตน ก่อนที่กระบี่และกรงเล็บจะเข้าปะทะ เขาหรี่ตาลงเกรงกำลังทั่วร่าง กรงเล็บอสูรใกล้เข้ามา เย่หวูเฉินจับกระบี่หิมะมั่นโดดเข้าปะทะ...

เปรี้ยง!

เย่หวูเฉินอัดพลังส่วนใหญ่ใส่กระบี่หิมะ จึงแทงกระบี่ใส่อุ้งมืออสูรเขาเดียวและเสียบเข้าไป เมื่อเย่หวูเฉินลงมาถึงพื้นเขาถอยซวนเซสองสามก้าว เหลือบมองสตรีลึกลับที่หมดสติอยู่แล้วคำรามเสียงต่ำ “ทงซิน!”

จุดแสงสีโลหิตวาบออกจากมือของทงซินราวกับดาวตก พุ่งใส่กลางหน้าผากของสัตว์อสูรแล้วทะลุออกด้านหลัง อสูรเขาเดียวร่างกายเหนียวหนาเกินเปรียบปาน กลับถูกแสงนี้เจาะทะลุราวกับเต้าหู้

อสูรเขาเดียวก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบากอีกสองสามก้าว มันคำรามเจ็บปวดแล้วล้มลงพื้นอย่างหนักหน่วง จากนั้นนิ่งเงียบสิ้นเสียงใดๆ แม้ว่ามันคือจ้าวอสูรแห่งป่านี้ แต่กระทั่งเถาไปไปยังไม่อาจรับมือทงซิน นับประสาอะไรกับสัตว์อสูรตัวนี้?

ทงซินขยับมือ แสงนั้นพุ่งกลับมาราวกับดาวตก กริชเทพพิโรธปรากฎในมือ เนื่องจากความเร็วยิ่งยวด จึงไร้รอยเลือดบนกริชคม นางจำทุกคำสั่งของเย่หวูเฉิน ไม่กล้าให้ร่างตัวเองเปื้อนเลือด และไม่กล้าให้กริชเทพพิโรธเปื้อนเลือดด้วยเช่นกัน

เย่หวูเฉินถอนหายใจบาง มองนางเซียนที่หมดสติอยู่ เขาส่ายศีรษะและยิ้ม “ครั้งที่แล้วไม่ได้เล่นบทผู้กล้าช่วยหญิงงาม คิดไม่ถึงว่าวันนี้บทกลับส่งข้าอีกครั้ง ระหว่างเราดูเหมือนจะไม่ใช่วาสนาธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้...”

เย่หวูเฉินเคยบอกหนิงเสวี่ยก่อนหน้าแล้วว่าทงซินนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวเขา วันนี้เป็นครั้งแรกที่หนิงเสวี่ยได้เห็นทงซินแสดงฝีมือ หลังจากแปลกใจ นางกระโดดรอบทงซินด้วยความตื่นเต้น จากนั้นนางหันไปมองพี่สาวเซียนที่สลบอยู่ ผ้าคลุมหน้านางยังไม่หลุดออก ไหล่ซ้ายชุ่มเลือด คล้ายถูกทุบตีอย่างหนัก

“ท่านพี่ นาง...” หนิงเสวี่ยมองที่พี่สาวเซียน จากนั้นมองกลับมาที่พี่ชาย ไม่ทราบสมควรทำอย่างไร

เย่หวูเฉินมองสำรวจเงียบๆ สายตาราวกับมองทะลุเสื้อผ้า จากนั้นไม่นานเขาส่ายศีรษะ “อืม ไม่เป็นไร ไม่ใช่บาดแผลร้ายแรง นางจะคืนสติในอีกไม่นาน”

จากแหวนเทพกระบี่ เขานำขวดยาที่เตรียมให้โดยหวังเวิ่นชูรวมทั้งผ้าพันแผลออกมา เขาวางมันในมือหนิงเสวี่ยแล้วก้มลงกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ นางบาดเจ็บตรงไหล่ เจ้าช่วยใส่ยาแล้วพันแผลให้นางได้รึเปล่า?”

“แต่ว่าท่านพี่ ท่านสามารถรักษานางได้ทันที” หนิงเสวี่ยถือขวดยาในมือ ถามอย่างสับสน

เย่หวูเฉินยิ้มขณะส่ายศีรษะ “พี่ชายเจ้าไม่อาจให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ ทงซิน มาช่วยนางที”

เมื่อหนิงเสวี่ยและทงซินเปิดผ้าของสตรีออก เย่หวูเฉินก็หันไปอีกทางแล้ว เขาตรงไปที่ร่างอสูรเขาเดียวตัวโต เขามองสำรวจมันแก้เบื่อ สัตว์อสูรมีระดับเหนือจินตนาการคนทั่วไป ทั้งผิวหนัง เนื้อ กล้าม และอวัยวะ ต่างเป็นของล้ำค่าที่ขายได้ราคาแพงยิ่ง แต่เย่หวูเฉินไม่สนโดยสิ้นเชิง เขาเพียงควบคุมสายตาตัวไม่ให้เผลอล่วงเกิน ‘นางเซียน’ ผู้ลึกลับ

ม่านรัตติกาลปกคลุมท้องฟ้ามืดดำ คนทั้งสามนั่งรอบกองไฟ หัวเราะขณะกินเนื้อย่างที่ไม่ทราบเอามาจากไหน เย่หวูเฉินชำเลืองมองสตรีลึกลับหลายครา นางยังหมดสติเปลือกตาขยับไหว เขาลอบคาดเดาที่มาของนาง และเชื่อว่าการพบกันไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ

ในที่สุด เปลือกตาสั่นไหวของสตรีก็ค่อยๆเปิดออก กองไฟ , ชายหนุ่ม , เด็กหญิงสองคนปรากฎในสายตา หลังจากงุนงงอยู่ชั่วขณะ นางรีบแตะหน้าและแตะไหล่ สีหน้านางเปลี่ยนทันที

“อย่ากังวลเลย น้องสาวข้าใส่ยาและพันแผลให้ท่าน ข้าไม่ได้มองหรือแตะสัมผัส ผ้าคลุมหน้าของท่านไม่เคยถูกเอาออก” เย่หวูเฉินไม่รอให้ถาม เอ่ยวาจาราบเรียบ เหมือนเขาไม่ต้องมองก็ทราบความคิดของนาง

หนิงเสวี่ยกลืนอาหารที่กัดเคี้ยวลงลำคอ จากนั้นกล่าว “พี่สาวเซียน ท่านพี่พูดความจริง ท่านพี่ให้ข้ากับพี่หญิงทงซินช่วยกันใส่ยาให้ท่าน เขาไม่ได้มองมา และยังสั่งพวกเราไม่ให้แตะผ้าคลุมหน้าของท่าน... ถึงแม้พวกเราจะอยากเห็นมากก็ตาม”

ทงซินยังคงกัดเคี้ยวอาหารคำโต เรื่องไหนไม่มีพิษภัยต่อพี่ชาย นางไม่สนใจโดยสิ้นเชิง

ในที่สุดสีหน้าของสตรีก็สงบลง นางยืนขึ้นช้าๆ อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงบาดแผลที่ไม่หนักหนา ด้วยพลังของนางแผลนี้ไม่นับเป็นสิ่งใด เมื่อคิดถึงตอนที่เย่หวูเฉินโอบร่างเพื่อช่วยชีวิตตน สีหน้าของนางก็ซีดลงและร่างโอนเอนเล็กน้อย

“พี่สาวเซียน ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง? อ้อ ใช่แล้ว ท่านคงจะหิว พี่ชายทำเนื้อย่างไว้มากและอร่อยมาก พี่สาวเซียน มาทานด้วยกันกับพวกเรานะ”

สตรีลึกลับมองหนิงเสวี่ยเล็กน้อย คลื่นปั่นป่วนเกิดขึ้นในหัวใจนาง เมื่อก่อนนี้ นางมีน้องสาวตัวเล็กๆ ทุกวันนางอบอุ่นหัวใจและเรียกน้องสาวตน... แต่หลังจากหายนะครั้งนั้น น้องสาวและเหล่าญาติต่างจากนางไป ไม่มีวันจะกลับมา นางส่ายศีรษะ “ข้าไม่หิว ขอบคุณ”

นี่คือครั้งแรกที่นางเปิดปากพูด น้ำเสียงบอบบาง , ชัดเจน และเย็นชา เย่หวูเฉินตระหนกเล็กน้อย เพราะเขาพลันนึกถึงผู้ที่เก็บตัว , ไม่ปรารถนะจะยิ้ม , ไม่คิดก้าวออกจากสวนของตน...เย่ฉุ่ยเหยา น้ำเสียงของพวกนางรวมทั้งสีหน้าคลับคล้ายกันมาก

“นางเซียนไม่กินอาหารอย่างมนุษย์ทั่วไป ดังนั้นนางจึงไม่อยากกินเนื้อย่างพวกนี้” เย่หวูเฉินกล่าวเรียบๆ ขณะกระดิกขากระต่ายในมือ

“เอ๋? แล้วพี่สาวเซียนชอบกินอาหารแบบไหนเหรอ?”

“นางเซียน แน่นอนว่าต้องกินบุปผาสวรรค์ , พืชไม้สวรรค์ , น้ำค้างสวรรค์ หรืออะไรพวกนั้น เสวี่ยเอ๋อร์อย่าห่วงไปเลย” เย่หวูเฉินกล่าวยิ้มๆ จากนั้นนำปีกสองชิ้นเหนือกองไฟออกมา เอาให้หนิงเสวี่ยแล้วกล่าว “เอ้านี่ ปีกของโปรดเจ้าย่างได้ที่แล้ว”

ปีกสองชิ้นนี้มาจากไก่ฟ้าประหลาดที่สามารถพ่นไฟ ปีกเป็นส่วนที่หนิงเสวี่ยชอบที่สุด เมื่อเย่หวูเฉินจับไก่ฟ้าเพลิงตัวนี้ได้เขางุนงงมาก... มีสัตว์ที่สามารถหายใจเป็นไฟ แต่ในป่ากลับไม่มีที่ใดเกิดเพลิงไหม้ไม่ว่าเพลิงกองใหญ่หรือเล็ก

“ขอบคุณท่านพี่!” หนิงเสวี่ยรับมาด้วยความดีใจ ยื่นหนึ่งชิ้นให้ทงซิน “พี่ทงซิน เราแบ่งกันคนละชิ้น”

ทงซินโบกมือแล้วลูบท้องน้อยๆเพื่อบอกว่านางอิ่มแล้ว หนิงเสวี่ยถือปีกมือละชิ้น กัดกินอย่างพึงใจ

ห่างออกไปไม่กี่ก้าว สตรีที่มีแผลบนไหล่ไม่ได้ส่งเสียงตั้งแต่เริ่มจนจบ และนางยังคงไม่จากไป นางเพียงนั่งลงเงียบๆ ปิดตาลงแล้วฟื้นฟูแผลที่ไหล่ แสงจันทราลอดใบไม้ต้องร่างนาง ราวกับม่านน้ำ ผิวหิมะขาวกระจ่างใต้ผ้าคลุม ขับเสริมความงามของเรือนร่างราวนางเซียน

เย่หวูเฉินเรียกนางเซียนมิใช่เพียงเพื่อขบขัน นางราวกับเซียนฟ้าปรากฎกายบนโลกมนุษย์เดินดิน ทำให้เขาตกตะลึง เรียกนางว่าเซียนไม่นับว่าเกินเลย

เพียงแต่... เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้แทบไม่เคยเดินทาง นางไร้ประสบการณ์อย่างยิ่ง

สตรีงดงามนางนี้วางแผนสิ่งใด? หรือจะเป็นสำนักจักรพรรดิใต้? ไม่สิ... หากเป็นสำนักจักรพรรดิใต้ ใช้ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่ดีกว่าหรือ ถ้าอย่างนั้นเป็นใครกัน? ทำไมนางถึงเจาะจงเข้าหา? หรือบางที เขาอาจคิดมากเกินไป



<<<PREV    .    NEXT>>>