วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 185

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 185 ศาตราต้องห้ามที่ทรงพลังที่สุด

หลังจากบรรลุพลังขั้นสาม ความรู้สึกที่ว่าร่างกายจะระเบิดได้หายไป เวลาที่เหลือคือรับจิตปราณแห่งสวรรค์และปฐพีที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างสงบ การจะบรรลุพลังขั้นที่สี่ จำเป็นต้องใช้พลังจิตปราณจำนวนมหาศาลยิ่งกว่าเก่า แต่พลังที่มังกรเพลิงฟ้ามอบให้เขานับว่าไม่ธรรมดา ทำให้พลังของเขาพุ่งทะยานขึ้น ในเวลาสั้นๆ พลังได้ขึ้นมาถึงคอขวดของขั้นที่สาม และดูใกล้จะบรรลุเข้าสู่ขั้นที่สี่ แต่ถัดจากนั้น เพลิงม่วงที่ล้อมรอบได้ค่อยๆจางลงและสลายหายไป พลังยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่มันช้าลงกว่าเดิมนับพันเท่า

เย่หวูเฉินลืมตาขึ้น เบื้องหน้าเขายังคงเป็นทะเลลาวา สีของมันไม่ได้เป็นสีม่วงแล้วแต่เป็นสีแดง มังกรเพลิงฟ้ามองที่เขาอย่างเงียบงัน สีหน้ามันดูเหนื่อยอ่อน ศีรษะของมันกระทั่งกลายเป็นสีแดงจาง

“เอาละ นี่ถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว หลังจากนี้อีกห้าพันปีข้าถึงจะฟื้นพลังกลับมา หากข้าต้องเสียพลังไปมากกว่านี้ ข้าจะไม่สามารถฟื้นฟืนพลังได้” มังกรเพลิงฟ้าน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ตอนนี้พลังของมันเหลือน้อยยิ่งกว่าสัตว์อสูรและยอดฝีมือขอบเขตเทวะแห่งทวีปเทียนเฉิน พวกเขากระทั่งสามารถเอาชนะมันได้ในสถานที่นี้ เพลิงแดงกับเพลิงม่วงมีอุณหภมิต่างกันราวผืนฟ้ากับแผ่นดิน

“ข้าควรขอบคุณท่านหรือไม่?” เย่หวูเฉินยืดกายยกศีรษะขึ้นถาม

“โอ้ หึๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าช่วยเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองด้วยเช่นกัน” มังกรเพลิงฟ้าตอบกลับอย่างสงบ

“แต่ข้ามาที่นี่เพราะความปรารถนาเห็นแก่ตัวของข้าเอง ขอบคุณที่ช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมาย ในวันหน้า หากข้ามีพลังเพียงพอ ข้าจะช่วยท่านฟื้นคืนพลังแน่นอน” เย่หวูเฉินรู้สึกขอบคุณ เขายิ้มตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ

มังกรเพลิงฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะลั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฟังแล้วเจ้าต้องมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้ตัวว่าครอบครองพลังแกร่งกล้า ข้าจะรอให้วันนั้นมาถึง หากข้าเป็นมนุษย์ก็คงทำแบบเดียวกันคือแสวงหาพลัง... เจ้ากลับไปได้แล้ว แค่เจ้ายืนอยู่ที่นี่ก็ดูดกลืนพลังของข้าไปทุกขณะนาที ข้าอยากช่วยเจ้าแต่ข้าก็ไม่อยากทำลายตัวเองเพราะเจ้าเช่นกัน”

เย่หวูเฉินผงกศีรษะ “ก่อนไปข้าขอถามท่านสักสองคำถามได้หรือไม่?”

“ถามมาได้เลย หากข้ารู้คำตอบข้าจะบอกเจ้าอย่างแน่นอน” มังกรเพลิงฟ้าไม่ปฏิเสธ

เย่หวูเฉินถามทันที “ในเมื่อท่านรู้ว่ากระบี่หนานฮวงอยู่กับข้า ท่านย่อมสามารถระบุที่อยู่ของมัน ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าคันศรเป่ยตี้อยู่ที่ใด?”

“สามศาตราต้องห้ามมีพลังที่สามารถฝ่าฝืนสวรรค์ ไม่ว่ามนุษย์หรือเทพต่างก็ต้องการครอบครองมัน กระบี่หนานฮวงและคันศรเป่ยตี้เวียนวนอยู่ทั่วทวีปเทียนเฉิน หลายปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากตามหามัน แต่พวกมันไม่รู้เรื่องกฎของศาสตราต้องห้าม ต่อให้พวกมันสามารถหาจนพบเจอ พวกมันก็ไม่มีทางได้ครอบครอง มีเพียงผู้ที่คู่ควรเท่านั้นจึงจะได้รับ ต่อให้ไม่มองหา มันก็จะมาปรากฎอยู่ต่อหน้า เจ้ายังต้องการตามหาพวกมันอยู่หรือไม่?”

เย่หวูเฉินกลายเป็นเงียบและส่ายศีรษะ “ไม่”

สำนักจักรพรรดิใต้พยายามตามหากระบี่หนานฮวงมากว่าพันปี แต่ก็ไร้ประโยชน์ เขาเพิ่งมาถึงทวีปเทียนเฉินกลับได้พบมันโดยง่ายเพราะถูกหนานเอ๋อร์เรียกหา มังกรเพลิงฟ้ากล่าวได้ถูกต้อง หากมันเป็นของใคร มันจะไปปรากฎต่อหน้าด้วยตัวเอง และหากใครไม่คู่ควรกับมัน แม้จะถือไว้ในมือก็ไม่อาจใช้พลังของมันได้

“ถ้าอย่างนั้นคงไม่เป็นไรที่จะบอกเจ้า คันศรเป่ยตี้ตอนนี้อยู่ในทางทิศตะวันตกของทวีปเทียนเฉิน บางทีมันอาจอยู่ที่ก้นทะเลตะวันตก หรือบางทีอาจอยู่ในอาณาจักรต้าฟง ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของมัน”

เย่หวูเฉินไม่สนใจเกี่ยวกับคันศรเป่ยตี้อีก เขาถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น ศาสตราต้องห้ามชิ้นที่สามคือสิ่งใด? จากที่ตำนานกล่าวไว้ พลังของมันเหนือล้ำยิ่งกว่ากระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมันมาก่อน กระทั่งยังไม่เคยได้ยินชื่อของมัน ราวกับว่า ตัวตนของมันมีอยู่ในตำนานเลือนลางเท่านั้น ท่านทราบเกี่ยวกับมันหรือไม่?”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ เจ้าถามได้ดี ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินมีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้นที่รู้คำตอบ”

เมื่อได้ฟังถ้อยคำ เย่หวูเฉินกระตือรือร้นขึ้น

“ชื่อของมันถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ดังนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ไม่ว่ามันมีตัวตนอยู่หรือไม่ก็ตาม ข้าก็ไม่อาจยืนยันชัดเจน ข้ารู้เพียงแค่ว่า ใครก็ตามที่สามารถครอบครองมันไม่เพียงจะได้รับอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโกลาหลบรรพกาลทั้งหมด แต่คนๆนั้นยังจะสามารถท่องผ่านมิติได้ตามใจปรารถนา สามารถเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์และไปได้ทั่วทุกหนแห่งในโกลาหลบรรพกาล ความยอดเยี่ยมของมันนั้นไร้ที่เปรียบ” หลังพูดจบ มังกรเพลิงฟ้าก็กระพริบดวงตามังกรที่เป็นประกายเร่าร้อนเล็กน้อย มันเองก็ปรารถนาว่าสักวันจะได้เห็นอาวุธในตำนาน

เย่หวูเฉินหัวใจเต้นกระหน่ำเมื่อได้ยินคำกล่าว สามารถเดินทางท่องมิติได้ตามใจปรารถนา สามารถไปได้ทุกแห่งหนในโกลาหลบรรพกาล สิ่งเหล่านี้ทำให้หัวใจของเย่หวูเฉินเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุม หากตำนานเป็นความจริง ถ้าเขาได้ครอบครองศาสตราชิ้นนี้ เขาย่อมสามารถเดินทางกลับโลกเดิมและตามหาอดีตของตน

“ขอบคุณท่านที่บอกข้า ข้าต้องไปแล้ว”

เดิมทีเขามาที่นี่เพียงเพื่อเพิ่มระดับพลังให้ตัวเอง แต่ตอนนี้เขาได้รับผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย ไม่เพียงสามารถเพิ่มพลังได้มากกว่าที่คิดไว้ แต่ยังได้ครอบครองจิ้งจอกมังกรที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าทงซิน แม้ว่าบางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องดีก็ตาม

“ช้าก่อน”

มังกรเพลิงฟ้าเรียกเขาในทันที มันหันศีรษะพร้อมดวงตาที่เปล่งแสงสีแดงจางไปที่ผลมังกรเพลิงฟ้าที่อยู่ตรงใจกลางของภูเขาไฟ ผลสีแดงถูกดูดออกมาจากก้าน มันลอยตามลำแสงสีแดงจนกระทั่งไปอยู่เบื้องหน้าของเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินยื่นมือออกมารับไว้ ความรู้สึกเรียบลื่นและอบอุ่นแผ่ไปทั่วฝ่ามือ

“ตำนานกล่าวว่าใครก็ตามที่ได้กินผลไม้ลูกนี้เข้าไปจะสามารถเพิ่มพลังธาตุไฟได้ มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” เย่หวูเฉินเงยหน้าถามขณะที่ถือผลไม้ไว้ในฝ่ามือ

“แน่นอนว่าไม่ เจ้าสามารถเข้ากันได้กับธาตุไฟ ทั้งพลังไฟของเจ้ายังบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบ บริสุทธิ์เหนือยิ่งกว่าข้า แต่เพราะเหตุผลใดไม่ทราบ การฝืนบังคับเปิดใช้พลังนั้นไม่ใช่เรื่องดี เจ้าคงรู้แล้วว่าถึงแม้เจ้าจะมีพลังเวทย์ไฟ แต่มันก็ไม่ได้เพิ่มพลังโดยรวมให้กับเจ้า อีกทั้งยามที่เจ้าต้องใช้มัน มันยังสูบกลืนพลังเป็นอย่างมาก”

เย่หวูเฉินพยักหน้า ไม่เพียงแค่ไฟเท่านั้น แต่ทั้งน้ำ , ลม , สายฟ้า และดิน ทั้งหมดถูกบังคับเปิดออกโดย “พรกิเลนศักดิ์สิทธิ์”

“ด้วยพลังของข้า เวทย์ไฟของเจ้าตอนนี้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับพลังของเจ้า มันจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพลังของเจ้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากเจ้ามีธาตุไฟอันบริสุทธิ์ เมื่อเจ้าใช้มัน ทั้งความเร็วและความรุนแรงจะเหนือล้ำกว่าผู้อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน และหลังจากที่เจ้ากินผลไม้ลูกนี้ลงไป มันจะเพิ่มพลังให้กับเจ้าในช่วงเวลาจำกัด ทำให้พลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าในทันที บางทีอาจเพิ่มถึงสิบเท่า บางทีอาจเป็นร้อยเท่า หรือกระทั่งเป็นพันเท่า มันจะเพิ่มพลังให้เจ้าได้มากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีพลังแฝงเร้นอยู่เพียงใด ซึ่งข้าไม่อาจยืนยัน และข้าไม่แน่ใจถึงผลสะท้อนจากการกินมันเช่นกัน หากมีวันหนึ่งที่เจ้าตกอยู่ในวิกฤตร้ายแรง มันย่อมสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ และอย่าได้กังวลไป แม้เมื่อถูกเด็ดออกและต้องอยู่ห่างจากไฟ มันก็จะไม่เน่าเสีย”

เย่หวูเฉินพยักหน้าและเก็บผลมังกรเพลิงฟ้าไว้ในแหวนเทพกระบี่ จากนั้นกล่าว “ขอบคุณสำหรับความเมตตา ข้าต้องไปแล้ว ท่านสมควรเหน็ดเหนื่อยมาก ข้าจะไม่รบกวนการหลับไหลของท่านแล้ว ในวันหน้า บางทีข้าอาจจะมาที่นี่อีกครั้งเพื่อรบกวน”

“ไปเถอะ...”

หลังจากพูดคำสุดท้าย ศีรษะขนาดมหึมาของมังกรเพลิงฟ้าก็ค่อยๆจมลงไปในลาวา มันคงกำลังหลับไหลแล้ว เย่หวูเฉินหันกายและจากไป หลังจากออกจากภูเขาไฟเทียนเม่ย เขาเร่งความเร็วตรงไปที่เมืองเหยียนหลง

ทุกๆครั้งที่พลังของเขาเพิ่มขึ้น ความเปลี่ยนแปลงในจิตใจก็จะเกิดขึ้นตาม ความเร็วของเย่หวูเฉินในตอนนี้รวดเร็วยิ่งกว่าครั้งก่อน หัวใจเขากังวลเกี่ยวกับหนิงเสวี่ยและทงซิน เขาวิ่งด้วยพลังทั้งหมด จนเห็นเป็นเพียงเงาขาววาบผ่าน เขาประมาณคร่าวๆว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เมื่อเทียบกับการจัดแบ่งระดับพลังของทวีปเทียนเฉิน ตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตวิญญาณชั้นกลางแล้ว แต่หากเขาใช้ออกเต็มพลังทั้งหมดย่อมแกร่งกล้ายิ่งกว่านั้น กระทั่งพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทวีปเทียนเฉินยังอ่อนด้อยกว่าพลังน่าอัศจรรย์ของเขา

เขายื่นมือขวาออก ลูกเพลิงแดงปะทุขึ้นบนฝ่ามือ เย่หวูเฉินอ้าปากหายใจเอาอากาศเข้าไปคำหนึ่ง พลิกฝ่ามือไปเบื้องหลัง เพลิงรูปมังกรยาวกว่าสองเมตรพุ่งออกไป พื้นดินเบื้องหลังไหม้เกรียม เขาใช้พลังปานกลางในการปล่อยเพลิง ด้วยความเร็วนี้ย่อมทำให้นักเวทย์ไฟทั้งหลายต้องโง่งม เวทย์ไฟนั้นเทียบเท่ากับพลังของเขา ดังนั้นเมื่อเขามีพลังเวทย์ไฟที่ระดับขอบเขตวิญญาณชั้นกลาง มันย่อมเหนือล้ำกว่านักเวทย์ไฟที่มีระดับเดียวกัน

แต่พลังเวทย์นี้เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพลังราวปาฏิหาริย์ของเสวี่ยเฟยเยี่ยนท นางสามารถแช่แข็งแม่น้ำสวรรค์ใต้ ขอบเขตวิญญาณกับขอบเขตเทวะดูแล้วเหมือนใกล้กัน แต่ความแตกต่างนั้นเหมือนกับยอดเขากับโคลนตม

ก่อนที่เขาจะไปถึงเมืองเหยียนหลง ทงซินที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขาได้พาหนิงเสวี่ยมารอรับ สัมผัสได้ถึงพลังของเขาที่เพิ่มขึ้นมา ทงซินยิ้มอย่างร่าเริง คิ้วงามของนางยกสูง เย่หวูเฉินกอดพวกนางไว้คนละข้าง ยิ้มและกล่าว “มาเถอะ พวกเราเข้าร้านอาหารที่ดีที่สุดและทานมื้อใหญ่กัน จากนั้นพวกเราค่อยกลับบ้าน”

เช้าวันต่อมาพวกเขาออกจากเมืองเหยียนหลงและมุ่งหน้ากลับเมืองเทียนหลง ขากลับพวกเขาไม่ได้กังวลเหมือนตอนมา ฝีเท้าของพวกเขาเร็วขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เย่หวูเฉินนึกถึงเย่ฉุ่ยเหยา เขาจะรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่เชื่อว่านี่เป็นเพียงความกังวลอันไร้สาเหตุ ดังนั้นเขาจึงต้องการมุ่งหน้ากลับบ้านที่เมืองเทียนหลงโดยเร็ว

“ท่านพี่ ท่านว่าตอนนี้พี่หญิงเมิ่งกับพี่หญิงเสวี่ยกำลังทำอะไรอยู่?” หนิงเสวี่ยถาม นางผูกพันกับผู้คนเพียงไม่มากนัก เพราะเส้นผมและใบหน้าทำให้ผู้คนรังเกียจนาง ดังนั้นนางจึงชอบทุกคนที่ไม่เกลียดหรือปฏิบัติต่อนางด้วยดี

“พี่หญิงเสวี่ยของเจ้าคงกลับไปที่วังสตรีหิมะของนางแล้ว ส่วนพี่หญิงเมิ่งของเจ้า...” เย่หวูเฉินหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “นางพึ่งกลับไปถึงบ้านได้ไม่นาน”

“เอ๋? ท่านพี่รู้ได้ยังไงว่านางเพิ่งกลับไปถึงบ้าน?” หนิงเสวี่ยสงสัย

เย่หวูเฉินกอดนางแน่นขึ้น ยิ้มและกล่าว “ข้าก็แค่รู้”

พันธะวิญญาณทำให้เขาสามารถระบุตำแหน่งของเหยียนจื่อเมิ่งได้ทุกเวลา พวกเขาแยกกับนางได้เป็นเวลาสิบวันจนถึงตอนนี้ สตรีบนหลังม้าย่อมรวดเร็วขึ้น แต่กระนั้นเหยียนจื่อเมิ่งเพียงพึ่งกลับไปถึงสำนักจักรพรรดิเหนือ ดูเหมือนว่านางไม่ได้เดินทางเร็วเหมือนที่คิด บางทีนางอาจกำลังลังเลบางอย่างอยู่ระหว่างทาง

หรือว่าที่นั่นจะเป็นที่ตั้งของสำนักจักรพรรดิเหนือจริงๆ? เย่หวูเฉินปิดตาลงและจดจำตำแหน่งของเหยียนจื่อเมิ่งเอาไว้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นประมุขของสำนักจักรพรรดิใต้หรือประมุขของสำนักจักรพรรดิเหนือ ที่ตั้งของสองตัวตนยิ่งใหญ่นับว่าซ่อนอยู่อย่างมิดชิด

พันธะวิญญาณระหว่างเขาและเหยียนจื่อเมิ่งนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง เป็นการเชื่อมโยงเพียงด้านเดียว หากเย่หวูเฉินต้องการ เขาสามารถตัดพันธะนี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย



<<<PREV    .    NEXT>>>